วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฉันท์ชนากับราชินีบนรียูเนียน ภาค 1
เวลาชั้นบอกใครว่าชั้นจบโรงเรียนราชินีบน ชั้นจะกลัวโรงเรียนเสียชื่อเสียงเพราะมีนักเรียนอย่างชั้นมาก เพราะชั้นคิดว่าคนจะวาดภาพนักเรียนโรงเรียนราชินีบนนั้นสวยหวาน แต่คนกลับไม่สงสัยเพราะเค้าคิดกันว่าชั้นต้องเป็นทอมแน่นอน แต่แท้จริงแล้วชั้นชอบผู้ชาย (บางคนหาว่าสร้างภาพ) แต่จุ๋มจิ๋มเพื่อนสนิทที่ยาวนานที่สุดของชั้นจะเป็นคนหนึ่งที่รู้ว่าชั้นบ้าผู้ชายขนาดไหน จิ๋มชั้นพูดว่า ใครๆ ก็เป็น Love of My Life ของแกรหมดทุกคนอ่ะ.... อ้าวชั้นผิดซะงั้น ไว้ว่างๆ ชั้นจะร่ายมนต์ว่าชั้นมีความประทับใจและหลงรักผู้ชายมาแล้วกี่คน และชีวิตรักชั้นมันรันทดขนาดไหนในภายภาคหน้า แต่ตอนนี้กลับมาโรงเรียนราชินีบนก่อน
ชั้นเข้าเรียนโรงเรียนราชินีบนเพราะเป็นหลานย่าแดง ย่าแดงสอนอะไรก็ไม่รู้หรอกไม่เคยเรียนแต่ว่าลูกย่าแดงเรียนจบราชินีบนทุกคน (รวมทั้งลูกชายด้วย) บ้านย่าแดงก็อยู่ซอยตรงข้ามโรงเรียนนั่นแหล่ะ ปู่แผ้วสามีของย่าแดงเป็นเพื่อนสนิท (เพื่อนร่วมสาบาน) ของปู่ชั้นเองและเค้าเลี้ยงพ่อชั้นมาเหมือนลูกสมัยพ่อชั้นเรียนจุฬาฯ พ่อชั้นเลยกลายเป็นพี่ชายคนโตบ้านนี้ไปโดยปริยาย ตอนชั้นเกิดมาพ่อกับแม่ต้องทำงานเลยเอาชั้นมาฝากเรียนโรงเรียนเตรียมอนุบาลแถวๆ บางกระบือ แล้วก็อยู่บ้านย่าแดง ย่าแดงสอนชั้นให้เป็นผู้ดี เดินเสียงดังก็จะต้องมีการเอาไม้บรรทัดเคาะตาตุ่ม ชั้นเป็นเด็กเรียบร้อยแบบไม่เต็มใจเมื่ออยู่บ้านนี้แต่ชั้นก็มีความสุขทุกคนที่นี่รักชั้นมาก
ชั้นเริ่มต้นที่ อนุบาลหนึ่ง ขอไข่ สีชมพู สมัยนั้นชั้นชื่อ น้องแอร์ น๊ะเป็นชื่อตั้งแต่เกิดและยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นโอ่ง จริงๆ ตอนเกิดพ่อจะให้ชื่อ กิ๊บ เพราะว่าพ่อชื่อ บิ๊ก เอาอักษรสลับกันชื่อเป็น กิ๊บ ฟังแล้วน่ารักมาก ขืนชื่อนี้โตมาต้องกลายเป็น กิ๊บยักษ์ แน่นอน ตอนอนุบาลชั้นเลขที่ติดกัน และนั่งติดกันกับ จ๋า (ชาลินี) ชื่อคล้องกันด้วย ฉันท์ชนา ชาลินี และจัดได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทคนแรก เพราะก่อนหน้านั้นจำความอะไรไม่ได้ ที่ห้องจะมีลูกคนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่พ่อชั้นทำงานอยู่ด้วยหลายคน เช่น พี่พู่ พี่ป้อง (พิชญา) เป็นต้น ที่เรียกพี่แต่เด็กเพราะพวกเนี้ยแก่แล้วเกิด 2516 (ปีวัว) ในขณะที่คนที่เรียนปีเดียวกะชั้นควรจะเกิด 2517 (ปีเสือ) ชั้นเลยติดเรียกพี่ป้องมาตลอด สองคนเนี้ยเรียนเก่ง พ่อชั้นชอบเอามากดดันชั้นที่บ้าน แต่ก็ไม่สำเร็จหรอกน๊ะ เพราะชั้นไม่สนใจเรื่องเรียนเลยแม้แต่น้อย ชั้นสนใจเรื่องอื่น....
เพื่อนๆ มารียูเนียนกันบอกว่า คิดถึงความสุขสมัยเด็กๆ ตอนอยู่ราชินีบนชั้นไม่มีความสุขสนุกเหมือนตอนกลับมาเจอเพื่อนๆ ทุกวันนี้หรอก เพราะว่าสมัยนั้นชั้นหิวตลอดเวลา ความสนใจชั้นมีอยู่เรื่องเดียว คือ วันนี้จะทำยังไงให้ท้องอิ่มดี แน่นอนบ้านชั้นไม่ใช่คนจน เข้าขั้นมีฐานะใช้ได้เลย แต่ที่บ้านย่าแดงย่าไม่ยอมให้ชั้นกินเยอะกลัวชั้นจะอ้วน ย่าแดงไม่ชอบให้อ้วนจึงจำกัดอาหารเช้าเย็นอย่างเข้มข้น (ย่าแดงมาเห็นชั้นวันนี้มีหวังลมจับ) และพอมาโรงเรียนทุกคนต้องกินพร้อมกันลุกพร้อมกัน ชั้นต้องรีบกินเพราะเกรงใจเพื่อน (เติมได้แค่ 2 ครั้งต้องตัดใจเลิก) แต่ถ้าเธอไปฟังจุ๋มจิ๋มเล่าเรื่องนี้จะได้ยินอีกเรื่องนึง คือ การที่อยู่ห้องเดียวกับโอ่งจะทำให้เวลาพักเที่ยงหายไปเกือบหมดเพราะต้องรอชั้นกินข้าว ยิ่งถ้าวันไหนเป็นแกงเขียวหวานเนื้อสับกับปลาเล็กปลาน้อย ความเกรงใจเพื่อของชั้นจะอยู่ในระดับต่ำสุด รอกันไปล๊ะกัน...อย่างน้อยต้องมี 3 จานอ่ะ

สมัยนั้นชั้นได้ค่าขนม 5 บาทต่อวัน ชั้นต่อรองกับพ่อขอเป็น 25 บาทต่อสัปดาห์แทน ดูแล้วน่าจะเหมือนกันใครจะรู้ว่าเด็กที่เริ่มต้นการต่อรองแบบนี้จะโตขึ้นเป็น Lobbyist ได้อย่างทุกวันนี้อ่ะ แต่ชั้นมีเหตุผล เธอรู้ไม๊ข้าวหมูแดงที่ครูเอามาขายสมัยนั้นอ่ะจานละ 7 บาท ดังนั้น 5 บาทกินอะไรไม่ได้หรอก ได้ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ้ววิญญาณหมูใส่ห่อใบตองราคา 3 บาทเท่านั้น แต่หาได้ระคายกระเพาะชั้นไม่ ดังนั้น สิ่งที่ชั้นชอบที่สุดยังคงเป็น ขาหมูบางกระบือ ร้านอยู่ตรงสี่แยกเขียวไข่กาซึ่งสมัยก่อนราคาจานละ 10 บาท แต่อิ่มมาก วันนี้ก็ยังอยู่น๊ะถ้าเพื่อนๆ จะไปกัน ลองไปอ่านฉบับที่ชั้นเขียนเรื่องอาหารการกินชั้นจะต้องเขียนร้านนี้ไว้อย่างแน่นอน
เรื่องอาหารเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชั้นมาก ถึงขั้นทำให้ชั้นต้องขายตัวตั้งแต่สมัยเด็กๆ สมัย ป.5 ชั้นจำได้ว่าเบียร์ (สุพัสวรรณ) มันช่วยรุ่นพี่คนนึงที่อยู่ ม. ต้น มาจีบชั้น พี่เค้าเป็นทอมชั้นเป็นสาวหวานน๊ะ เพื่อนๆ ช่วยลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนรียูเนียนที่บ้านเนยแล้วย้อนกลับไปตอนสมัยวันวานชั้นยังหวานอยู่นิดนึง เบียร์มันบอกว่า พี่เค้าโอเคน๊ะแกร ถ้าเป็นสมัยนี้ในใจชั้นคงนึก What’s In It for Me??? แต่ว่าเพื่อนเบียร์มันก็รู้ใจชั้นบอกพี่เค้าว่าชั้นชอบกิน พี่เค้าเลยเอาขนมมายืนรอหน้าบันไดทุกวันชั้นเลยต้องยอมคุยกะเค้า เบียร์มันยังสอนพี่เค้าว่า อย่าให้ชั้นเอาขนมไป ไม่มีทางสำเร็จ ต้องให้ชั้นกินตรงนั้น เค้าถึงจะมีโอกาสได้คุย (แล้วมันนึกว่าแบบนี้จะสำเร็จรึ) แต่นั่นคือ การขายรอยยิ้มและการพูดคุย ให้กับพี่เค้าโดยได้ผลตอบแทนเป็น นมช๊อกโกแลต และพายไส้กรอก เป็นครั้งแรกซึ่งชั้นคิดในใจว่า ทำไมเบียร์มันไม่บอกพี่เค้าให้ซื้อข้าวหมูแดง 7 บาทว้า พายนี่ 4 บาทเอง (มานั่งเขียนตรงนี้ชั้นถึงได้รู้ว่าชั้นเหมาะสมที่จะเป็นนักการเงินแล้ว) นมก็ไม่ได้ชอบเท่าไร แต่พี่เค้าบอกว่า นมแสดงถึงการใส่ใจในสุขภาพชั้น แต่ถ้ามาคุยกันวันนี้ชั้นต้องบอกว่า หมอบรรจบบอกว่า นม คือสาเหตุหนึ่งของมะเร็งเต้านมนะค๊ะ
ความทุกข์ที่สองของชั้น คือ โดนเพื่อนแกล้ง ตอนเด็กๆ โรงเรียนเรามีเด็กผู้ชาย 3 คน เต็ม (บารเมศ) เป็นชายในฝันของหญิงทุกคน ซึ่งชั้นรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยเลยจบไปไม่เคยคุยกัน ป๊อบ (อ้วน) ชั้นไม่รู้จักป๊อบเท่าไรเค้าอยู่กับเต็มตลอด ชั้นเลยไม่มีโอกาสได้ยุ่งกะเค้า (และสมัยนั้นอาหารเป็นปัจจัยสำคัญกว่าผู้ชาย ไม่เหมือนวันนี้แล้ว) สุดท้าย คือ อลงกรณ์ ซึ่งอยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่อนุบาลและเป็นเด็กที่ตั้งหน้าตั้งตาแกล้งชั้นทุกวัน โดยเฉพาะตอนอนุบาลสอง หลังชั้นเปลี่ยนชื่อเป็นโอ่ง เพื่อสุขภาพ (ความเชื่อที่บ้านว่าเปลี่ยนชื่อแล้วจะสุขภาพดี) อลงกรณ์ เรียกชั้นว่า โอ่งอ่างกระถางแตกบ้างแต่งกลอนให้ชั้นบ้าง โอ่งแตก มาแลกโอ่งดี โอ่งกินขี้ ไม่มีคนซื้อ เป็นต้น ชั้นเป็นเด็กสาวหวานร้องให้ทุกวันเลย สมัยนั้นพ่อชั้นพยายามสอนให้ตอบโต้ แต่สมัยนั้นชั้นไม่กล้าเลยซวยไป
โตขึ้นมาหน่อย ชั้นก็โดนอ้อมใจแกล้งอีก (ประมาณ ป. 4) ชั้นจบราชีนีบนตอน ป. 6 บอกตามตรงแทบจำใครไม่ได้ แต่ชั้นจำอ้อมใจกับอ้อ(สุธาสินี)ได้แม่น เพราะอ้อมใจแกล้งชั้นตลอดเวลา และครั้งนึงถึงขั้นเอากล่องดินสอสุดรักสุดหวง ซาริโอ้ชิ้นแรกและชิ้นเดียวของชั้นไปทิ้งนอกหน้าต่างอ่ะ แล้วทำหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สมัยนั้นชั้นเป็นเด็กสาวหวานไม่กล้าหืออือ เพราะอ้อมใจเค้าเป็นหัวโจก Aomjai &The Gang (สมัยนี้ไม่รู้หายไปไหนแล้ว)
สมัยนั้น อ้อ (สุธาสินี) เป็นคนออกหน้าต่อว่าอ้อมใจให้และจะเดินเข้ามาปกป้องเด็กอ่อนแออย่างโอ่งทุกครั้ง และอ้อสงสารโอ่งมากที่โดนอ้อมใจและผองเพื่อนรังแก โดนล้อนู่นนี่ตลอด และโดนข่มด้วยเพราะที่บ้านไม่ค่อยซื้อสินค้าซาริโอ้ให้ใช้ เพราะพ่อเห็นว่ามันเกินไปสำหรับเด็กๆ พ่อให้ใช้ของธรรมดาๆ ดังนั้น ตอนอ้อกลับจากเที่ยวญี่ปุ่น อ้อเลยซื้อเกมส์กดมาฝากโอ่งคนเดียวเป็นเกมส์ทาซานยังจำได้และซาบซึ้งติดตามาก
สมัยนั้น อ้อ (สุธาสินี) เป็นฮีโร่ของเราน๊ะและตอนนี้ได้ดีไปแล้ว เห็นไม๊โลกนี้ยุติธรรม คนดีย่อมได้ดี อ้อเค้าเป็นคนที่เกิดมามีบุญแล้วก็ทำบุญอย่างต่อเนื่องมีเมตตาแต่เด็กๆ เลย แต่วันนี้ไม่โกรธอ้อมใจแล้วนะ ขำมากกว่า ขำตัวเอง ใครจะนึกว่าวันนี้คนที่ Tough ในการเจรจาการเงินที่สุดคนนึงใน Industry ครั้งหนึ่งจะเป็นเด็กที่ถูกรังแก สมัยนั้น อ้อ (สุธาสินี) จะสนิทกับ แตง (แตงโม) โอ่งก็เลยจำแตงได้ด้วย จำได้ว่าอ้อมีกล้องถ่ายรูปรุ่นเดียวกับแตงที่กดเป็นสีเขียวแต่ของแตงเป็นสีแดง อ้อมีบ้านใกล้โรงเรียนและชวนเพื่อนไปทานขนมที่บ้านตลอดเลย (ชั้นจะไปกินช่วงที่ค่าขนมหมดไปกับขาหมูแล้ว) แตงก็ดีกะโอ่งมากสมัยเด็กๆ ไม่รังแก แตงใจดี และสุดท้ายแตงก็ประสบความสำเร็จมีสามีที่แมนสุดๆ เป็นพ่อที่ดีสุดๆ ครอบครัวน่ารักมากเลย เมื่อวานได้จับมือสามีแตงด้วยสุดยอดไปเลย (ผัวเพื่อนท่องไว้ผัวเพื่อน)
ควารมทุกข์ถัดมา คือ ตกท่อโรงเรียนเราไม่รู้ว่าจะมีท่อเยอะไปไหน มันทอดยาวอยู่ข้างตึกรอบๆ โรงเรียนเราเลยนะ และโอ่งเองก็เป็นเด็กเหม่อ ที่รู้ได้เพราะโอ่งสนิทกับอรจิตต์ตอน ป. 3 เพราะนั่งเรียนติดกัน อรจิตต์บอกว่าโอ่งเรียนหนังสือน้ำลายยืดเลอะเอี๊ยมตลอดเวลาและไม่ค่อยพูดจากับใคร (วันนี้น้ำไหลไฟดับ) จริงๆ ก็เพราะไม่ชอบเพื่อนที่โรงเรียนอ่ะ เพื่อนชอบแกล้ง แต่ว่าอรจิตเป็นเพื่อนคนแรกที่พยายามคุยด้วย เวลาพักโอ่งจะเอาหุ่นยนต์ที่แถมในกล่องขนมมานั่งต่อและให้หุ่นยนต์มันคุยกันอรจิตต์ก็ถามว่า ตัวนี้ชื่ออะไร ตัวนั้นล่ะ แล้วมันคุยอะไรกัน โอ่งก็เล่าเรื่องสงครามหุ่นยนต์นรกโลกันต์ให้อรจิตต์ฟัง อรจิตต์เป็นคนแรกที่บอกว่า โอ่งเป็นคนตลกเล่าเรื่องได้ตลกมาก วันนี้โอ่งเริ่มเขียนหนังสือเป็นคนเล่าเรื่องแล้วนะ ไม่รู้ว่าอรจิตต์จะได้มีโอกาสอ่านไม๊ ถ้าอีกหน่อยเกิดดังขึ้นมาก อยากให้รู้ว่าอรจิตต์เป็นแฟนคลับคนแรกที่นั่งยิ้มฟังโอ่งเล่าเรื่องราว
กลับมาเรื่องตกท่อใหม่ โอ่งเดินๆ แล้วตกท่อตลอดแล้ว บางทีก็โดดยางแล้วตกลงไปในท่อ และก็ต้องถอดถุงเท้าออกไปซักเกือบทุกวัน สมัยก่อนชอบกินแพนเค๊กเล็กๆ ข้างโรงเรียนแล้วครูก็ห้ามซื้อ โอ่งก็ดื้ออยากกินอ่ะ ก็เลยปีนกำแพง (รั้ว) โรงเรียนเพื่อยื่นเงินออกไปให้แม่ค้าจนได้ แต่ว่าข้างๆ รั้วก็มีท่ออีก (เห็นไม๊เป็นท่อดักนักเรียนชัดๆ) พอปีนไม่ดีก็ตกท่ออีก แม่ก็ดุว่าทำไมตกท่อทุกวันเดินไม่ระวัง โอ่งก็คิดว่า ทำไมแม่ไม่ได้ทะเลาะกะครูบ้างว่าตั้งท่อไว้ทั่วโรงเรียนขนาดนี้เด็กก็ต้องตกลงไปดิ และที่สำคัญวิธีการตกก็หลากหลายไม่ได้แค่เดินตกนะแม่
ความทุกข์ใหญ่ๆ อีกข้อสำหรับโรงเรียนราชินีบน คือ วิชามารยาทกับวิชาการเรือน โรงเรียนของเรามีวิชานี้สัปดาห์ละประมาณ 10 ชั่วโมง ไม่รวมการต้องไปซ้อมไหว้ครู หรือซ้อมพิธีการอื่นๆ ซึ่งหลายคนมีแม่ช่วยวิชาการเรือน แต่โอ่งไม่มีเพราะแม่ไม่ทำเรื่องพวกนี้ แม่เคยช่วยเย็บปลอกหมอนเพราะโอ่งทำได้น่าสยองมากแต่ปรากฎว่าได้คะแนนน้อยพอกันทั้งแม่ทั้งลูกเลย ทำอุบะ ร้อยมาลัย ที่ตลก คือ พอโตขึ้นมาแล้วไปร่วมงานกับเค้าแล้วทำเป็นคน Surprise กันมาก หน้าไม่ให้สุดๆ ตอนหลังนี้เองจึงมารู้ว่าคุณสมบัติพวกนี้ทำให้เรามีความแตกต่างและสามารถเข้าใจโลกของผู้ดีเค้า...
ความทุกข์เล็กๆ อีกเรื่อง คือ การโดดยาง ทำไมเด็กโรงเรียนสตรีต้องโดดยางกันเป็นล่ำเป็นสันด้วย โดดยากจะตายไปค่ะนั่งร้อยยางก็เหน็ดเหนื่อยเสียเวลามากมาย ที่สำคัญการโดดยางอาจสร้างรากฐานการข่มกันได้ เพราะคุณภาพของยางที่โดดจะแตกต่างกันไป บางคนสามารถหายางคุณภาพสูงร้อยได้ทีละ 5 เส้นทำเป็นเส้นยาวๆ และเพื่อนๆ ทุกคน (เน้นทุกคน) ก็จะรวมตัวกันโดดยาง ทำให้โอ่งไม่มีเพื่อนเพราะโอ่งไม่ชอบโดดยางหมากเก็บก็ไม่ชอบ และก็ไม่มีใครทำอย่างอื่นกัน สมัยอยู่สามเสนเวลาว่างเค้าจะไปกินกัน (ส้มตำ น้ำแข็งไส) เป็น My Favorite Activities Ever Since
ความทุกข์สุดท้ายที่ก็ไม่ได้ทุกข์เท่าไร คือ สอบได้ที่ 10 กว่าตลอด ตอน ป. 4 ได้บัตรเชิดชูเกียรติแค่ครั้งเดียวเพราะสอบเลขได้ 99 คะแนนแต่ที่ก็ยังสิบกว่าเพราะวิชาอื่นห่วย จนตอน ป. 6 ได้ที่ดีที่สุด คือ สอบได้ที่ 8 ตอนนั้นจำได้ว่าจุ๋มจิ๋มสอบได้ที่ 3 และอรจิตต์ได้ที่ 4 นุตาได้ที่ 6 ซึ่งเมื่อเทียบกับเพื่อนในกลุ่มก็ยังเป็นที่โหล่อยู่ดีอ่ะนะ ในใจคิดว่าจุ๋มจิ๋มฟลุ๊กโคตรอ่ะไม่เห็นจะเรียนเลย อรจิตต์ขยันกว่าตั้งเยอะ
สมัยเรียนเราจะมี ตัวเอ้ ที่ได้คะแนนดีมากๆ ที่โอ่งจำได้ได้ที่ 1 (Tier 1) ชนิดขี่กันมาเลย คือ เดือน (นนทลี) ศิรินทร์ / อ้อ (กุลชาดา) / นาตาลี / แตงโม / อ้อ (สุธาสินี) เป็นต้น มีที่จำไม่ได้อีก พี่ป้องกะพี่ภู่ก็เก่งนะ แถมไปเรียนพิเศษที่กิ่งเพชรด้วย ตอนนั้นพ่อก็จะให้ชั้นไปเรียนและให้ไปเข้าสาธิตประทุมวัน ชั้นไม่เอาหรอกโรงอาหารที่สามเสนใหญ่กว่า มีร้านตั้ง 25 ร้านและก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 บาทเอง ตอน ป. 6 เค้ามีการเอาโรงเรียนทั่วประเทศไปสอบข้อสอบกระทรวง และโรงเรียนเราก็ได้คะแนนเฉลี่ยดีที่สุด เป็นที่ 1 ของประเทศไทย นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชั้นจำได้เกี่ยวกับราชินีบน
ชั้นจบ ป. 6 แล้วก็ไปต่อ ม. 1-5 ที่สามเสน แล้วก็เข้าเศรษฐศาสตร์ มช. สอบเข้าได้ที่ 1 ด้วย (ตอน ม. 5)  เห็นไม๊คนที่เรียนได้อันดับประมาณ 30 กว่าๆ ของรุ่นที่ราชีนีสามารถไปอยู่ที่อื่นแล้วเป็นที่ 1 ได้สบายๆ จุ๋มจิ๋มก็เหมือนจะได้ที่ 1 ของคณะที่เรียนที่เกษตรเหมือนกัน จบเกียรตินิยมทุกใบรวมทั้งที่อเมริกาด้วย โอ่งก็คะแนนสูงสุดใน MBA Class ที่ Cleveland ส่วนจิ๋มเหมือนจะได้ A จรวดและได้เข้าจารึกชื่อในสมาคม MBA ของ USA ด้วยน๊ะ
พอกลับมาเจอเพื่อนอีกครั้งคนที่เป็น หัวกะทิ ก็ยังคงสร้างความภูมิใจให้เพื่อนทุกคนในรุ่น แม้แต่หางกะทิอย่างเราก็ยังมีการงานสดใส แต่ที่สำคัญทุกคนดูมีความสุข ปัญหาของโอ่ง คือ หลังจากจบ MBA โอ่งก็ทำงานที่สหรัฐและสิงคโปร์ต่อ พอกลับเมืองไทยก็เข้าวงการ Investment Banking หายสาบสูญจากเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนไปอีกมากกว่า 10 ปีจนกระทั่งปีที่แล้วมี Facebook เป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก และก็เริ่มรู้สึถึงความสำคัญของการมีเพื่อน ประกอบกับหน้าที่การงานก็ใหญ่พอที่จะมีเวลาหายใจบ้างแล้ว มีลูกน้องระดับผู้จัดการมากกว่า 10 คนคอยรับผิดชอบ ชีวิตเริ่มสบายก็เริ่มที่จะคิดถึงเพื่อนๆ แล้ว จุ๋มจิ๋มบอกว่า เพื่อนๆ ราชินีบนรวมตัวกันอีกครั้งใน FB และมีการนัดกันเป็นครั้งคราวด้วย
ปีที่แล้วก็เลยได้ไป Reunion ที่ร้านของโอ ไม่น่าเชื่อเพื่อนๆ ไปกันเพียบ บอกตามตรงว่าสำหรับเพื่อนราชินีเวลาที่ห่างกันของเรามันมากกว่า 25 ปีที่โอ่งไม่ได้ติดต่อกับใครเลยนอกจาก ฝน (นุชนาถ) กับ จุ๋มจิ๋ม แต่ตอนเดินเข้าไปเพื่อนๆ กรี๊ดกันเสียงดังมากต้อนรับกันแบบโคตรอบอุ่นมีความสุขมาก มากกว่าตอนเรียนที่โรงเรียนอีก
ทุกคนลองนึกตามเล่นๆ ในใจนะ ความทรงจำสมัยราชีนีบนอ่ะโอ่งมีแต่ความทุกข์ (ด้านบน) นอกจากมีเพื่อนดีหลายคนแล้วโรงเรียนราชินีบนสำหรับโอ่งเป็นนรกชัดๆ แต่กลับมารอบนี้โอ่งได้พบกับเพื่อนๆ และได้นึกถึงเรื่องสมัยเด็กๆอีกครั้งแล้วขำ นอกจากเบียร์ (สุพัสวรรณ) ที่ยังคงความเป็นแมนแล้ว คนอื่นก็กลายเป็นแม่กันไปหมด ยิ่งไปเลี้ยงกันบ้านเนยรอบนี้ พาลูกๆ มาด้วยยิ่งรู้สึกสนุก อบอุ่น และมีความหวังว่าแก่แล้วคงไม่ต้องอยู่คนเดียว พร้อมกับมีความประทับใจใหม่ๆ ที่ไฉไลกว่าเดิม
เริ่มที่ ปุ๊ก (Puk Rungrujimek) ปุ๊กที่แสนจะมีน้ำใจอุตส่าไปซื้อไก่ย่างส้มตำ (อร่อยกินไปเยอะ) มาให้ตั้งแต่บ่ายและแบกมาบ้านจุ๋มจิ๋มเป็นการซื้อเผื่อโอ่งกะจุ๋มจิ๋ม (แต่แบกคนเดียว) เพราะโอ่งติดประชุมกับธนาคารธนชาติถึงเกือบ 5 โมง (จริงๆ เก็บกระเป๋า 3 รอบแล้วแต่ธนาคารเค้าไม่ยอมเลิกถาม ไม่ยอมปล่อยเราออกมา) แต่พอเสร็จก็เหยียบบึ่งไปรับ ปุ๊ก จุ๋มจิ๋ม กะฝน (นุชนาถ) ซึ่งอุตส่ารีบซ่อมรถแล้วรีบมา แต่จุ๋มจิ๋มยืนยันว่าชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ให้โอ่งขับรถจะดีกว่า แล้วเราทั้งสามก็ขับรถวีออส เสมือนมอเตอร์ไซด์อัด 4 แทรกตัวตามช่องว่างของรถบรรทุกเข้ามาจนถึงบ้านเนยได้ในเวลาไม่เกิน 40 นาทีจากเซ็นทรัลลาดพร้าว
พอตอนมาถึงเพื่อนๆ ก็นั่งกันอยู่กลุ่มหนึ่งแล้ว สิ่งแรกที่หยิบ คือ ขนมใส่ไส้ห่อใบตอง จากโรงเรียนราชีนีบนของเรารสชาติยังเหมือนเดิมเลย แล้ว พี่ป้อง (ติดเรียกพี่มาตั้งแต่อนุบาล 1 อ่ะเปลี่ยนไม่ได้) ก็ค่อยๆ คัดมันหมู (หมูสะเต๊ะ) มาให้กินน่ารักมาก เหมือนกลับไปเป็นเด็กๆ อีกครั้งจริงๆ แล้วเปิ้ล (หัวหน้าแม่บ้าน) ก็พาเราเอากระเป๋าไปเก็บในห้องนอนเวอซาเช่ที่มีแต่ ป้อน (กนกวิภา) เท่านั้นที่จะนอนได้ เพราะห้องนอนเธอ แรง!
หลังเก็บกระเป๋าเราตัดสินใจนั่งโต๊ะที่คนน้อยและได้รู้จักกับ เอ ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่เคยรู้จักกันเพราะ เอ เข้ามาตอน ม. 1 แต่โอ่งรีบหนีไปหาอาหารที่อื่นกินตั้งแต่ตอน ป. 6 เอมีลูกชายสุดเท่อยู่ 1 คน (น่ารักมาก) แม่ที่เลี้ยงลูกชายได้มีความมั่นใจแบบนี้แน่ใจไดว่าต้องเป็นแม่ที่อบอุ่นมาก ในห้องคาราโอเกะ หลายชายเราร้องเพลง Top of The World ได้สำเนียงฝรั่งและมีความมั่นใจ ที่เจ๋งสุดๆ คือ มีป้าแก่ๆ นั่งฟังเพียบ เป็นเด็กที่มีความกล้า (Courage) จริงๆ นะ โตขึ้นต้องไม่ธรรมดา ดังนั้น คุณแม่ต้องเลี้ยงดีๆ เด็กผู้ชายสมัยนี้ไม่ได้มีความเข้มแข็งแบบนี้ทุกคน
ถ้าพูดถึงความเป็นแม่ก็อดที่จะกล่าวถึง เนย เจ้าของบ้านผู้อารีย์ไม่ได้ เนยเป็นคนรวยที่รู้จักหาความสุข โอ่งชื่นชมจากใจจริงเพราะโอ่งเห็นคนรวยมาเยอะ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะ Generous และรู้จักว่าความสุข คือ อะไรอย่างเนย และความเป็นแม่ของเนยก็สุดยอด ลูกชายยังตกเครื่องอยู่ที่ออสเตรเลีย เนยก็ปลอบลูกว่า รอคุณแม่ก่อนนะลูก คุณแม่กำลังให้เพื่อนช่วยดูให้ (เพื่อนคนนั้น คือ ฝน (นุชนาถ)) และเนยก็ยังสามารถจัดงานต่อได้ทั้งๆ ที่ห่วงกังวลกับลูก และยังหาช่องว่างโทรหาลูกตลอดเวลา หลานชายคนที่อยู่ออสเตรเลียถึงแม้ว่ายังเหยียบไม่ถึงเมืองไทย แต่ใจเค้าก็น่าจะอบอุ่นเหมือนกับอยู่เมืองไทยแล้ว ชั้นเห็นเศรษฐีหลายคนเรื่องแบบนี้ให้เลขาจัดการหมดอ่ะ แม้แต่พ่อชั้นเรื่องแบบนี้ชั้นโทรตรงหาเลขาพ่อเลย ชั้นไม่เคยเสียเวลาโทรหาพ่อสักครั้ง เพราะถึงเวลาก็เหมือนกัน และก็มีอีกหลายคนที่เวลาห่วงลูกก็เว่อทำอะไรไม่ได้ เนย เป็นแม่ตัวอย่างที่ ห่วงลูกกำลังพอเหมาะแต่ไม่ถึงกับกังวล ไม่แปลกใจลูกๆ ของเนยต้องเติบโตอย่างน่าชื่นชมแน่ๆ
(โปรดติดตามตอนต่อไป มีภาค 2)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น