วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

ควันหลงมังกรหยก
ตอนที่ 1 เปิดตำนานมังกรหยก
                 สิ่งหนึ่งที่เป็นเหตุปัจจัยทำให้ฉัน จากสาวสวยน้อยๆ(ความสวยมีเพียงเล็กน้อย)และแสนจะอ่อนต่อโลก ได้กลายมาเป็นสาวใหญ่ใจถึงกร้านโลก ก็เป็นจะเป็นเพราะความเป็น คอหนังกำลังภายใน ชนิดถ้ากลืนกินเข้าไปได้ก็จะขอกลืนลงไปให้ถึงใจ (และถึงท้องด้วย) และหนังจีนกำลังภายในที่สร้างความประทับใจ วัยเด็กสาวแรกแย้มของฉันก็ คือ เรื่องมังกรหยกนี่แหล่ะ หลังจากผ่านการเปิดบริสุทธิ (ทางสายตาและอารมณ์)
                   มังกรหยกภาค 1 ตำนานจอมยุทธิยิงอินทรีย์ตั้งแต่ปี 1982 หรือก็ คือรุ่นที่หวงเย่อหัวเล่นเป็นก้วยเจ๋ง และองเหม่ยหลิงเล่น (นางเอกชื่อดังที่อกหักเปิดแก๊สฆ่าตัวตายไปแล้ว) เป็นอึ้งย้งน่ะค่ะ สรรสร้างให้ฉันกลายเป็นหนึ่งในสาวกของมังกรหยก และเริ่มพบรักกับกิมย้มอย่างถอนตัวถอนใจไม่ได้อีกเลย

          สำหรับฉัน ฉันประทับใจการเปิดตัวละครของมังกรหยกมากที่สุด คุณจะพบว่า จอมยุทธ์ที่เปิดตัวออกมาตั้งแต่เริ่มต้นนั้นโครตเก่ง มีวิชาตัวเบาเหลือล้ำไปมาไร้ร่องรอย (นี่ดูศัพท์แสง) แต่เมื่อเปิดต่อมาเมื่อเปิดตัวละครไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่าสมัยนั้นใครๆ ก็ไปมาไร้ร่องรอยทั้งสิ้น เหมือนสมัยนี้ใครๆ ก็มีรถยนต์ สมัยนั้นใครๆ ก็มีวิทยายุทธ์ พื้นดินแทบไม่มีรอยเท้า ไม่ต้องตัดงบส่วนกลางมาตัดถนน เดินจากเหนือไปใต้ใช้เวลาประมาณ 25 นาที (ปัจจุบันถ้าใช้เครื่องบินก็ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ถ้าเดินทางโดยรถยนต์ก็คงใช้เวลาเป็นวันๆ ถ้าเป็น รฟท. ก็คงไม่ถึงก็ช่างมากกว่า) แต่ก็นั่นแหล่ะมันทำให้ความมันส์ และความตื่นตาตื่นใจ ค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ สะสม ผิดแผกจากการเปิดตัวละครของนักเขียนหลายท่าน ทำให้ มังกรหยก กลายเป็นตำนานที่แสนจะคลาสสิกของคอหนังกำลังภายใน
                โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งตลอดกาลของกิมย้ง คือ โกวเล้ง ซึ่งจริงๆ แล้วน่าจะเป็นหนึ่งในนักเขียนรุ่นเดียวกันและมีผลงานเป็นที่รู้จักมากพอกัน แม้แต่คุณพ่อของฉันเองก็ดูเหมือนจะชอบงานแต่งของ โกวเล้ง” (ไม่ได้เป็นญาติกะโกฮับน๊ะ)  มากว่า เพราะท่านชอบงานเขียนแนว เจมส์บอนด์ อยู่แล้วแต่แรก มีการหักมุม หักเหลี่ยมเฉือนคมกันมากมาย
                    แต่สำหรับฉัน ฉันว่า โกวเล้ง เปิดตัวละครซะเว่อแต่ต้น พระเอกเป็น บุรุษผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ เก่งโคตร เพื่อนแต่ละคนก็เก่งโคตร ประมาณว่าถ้าคุณเป็นชาวบ้านเดินดินกินข้าวแกงล่ะก็ อย่าริมีบทบาทไปปนเปในงานเขียนของเขาเลยทีเดียว
                    พระเอกของโกวเล้งนะไม่ว่าจะเป็น ชอลิ้วเฮียง เล็กเซียวหงส์ หรือแม้แต่เอี๊ยบไค ก็มักเป็นจะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน (แอบน่าเบื่อ) คือ หล่อ รวย ฉลาด ชาติตระกูลดี (ไม๊) มีรอยยิ้มเยาะน้อยๆ ที่แสดงให้เห็นว่าฉันฉลาดกว่าคนอื่น แถมมีสาวหลงใหลมากมาย สาวสวยที่อยู่ด้วยก็แสนจะเข้าใจว่า ไม่เจ้าชู้ไม่ใช่ชาย โดยเฉพาะชอลิ้วเฮียงกับเล็กเซียวหงส์ เป็นเสมือนเจมส์ บอนด์ ภาคเอเชียยังไงอย่างงั้นเลย
                    โกวเล้ง วางพื้นฐานจอมยุทธอยู่ในโลกแห่งความฝันที่สุดโต่ง ไกลเกินจริงยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไปจะเอื้อมถึง โดยเฉพาะความร่ำรวยผิดปกติที่ ปปช. ไม่สามารถตรวจสอบได้ ผู้อ่านและผู้ชมจะไม่สามารถเดาออกได้เลยว่าพระเอกเหล่านั้นเอาเงินมาจากไหนมากมาย (แต่ฉันมีเฉลยเด็ดๆ ตอนท้ายที่แสนจะ Make Senses)
                       ดังเช่น ชอลิ้วเฮียง ซึ่งมีเรือยอร์จส่วนตัว (เรือสำราญ) พร้อมสาวงามที่ชอลิ้วเฮียงเคลมว่าเป็นน้องสาวน่ะน๊ะ สมัยนี้น่าจะเรียกว่า กิ๊ก เพราะเหล่าคุณเธอต่างประกบซ้ายขวาหน้าหลังเฮียชอเต็มไปหมด และที่สำคัญนะทุกคนบนเรือต่างก็ไม่ทำงานทำการกันซักคน ไม่แม้แต่จะช่วยกันพายเรือให้มันเดินไปข้างหน้า หญิงสาวในเรือจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดีดพิณ เล่นดนตรี ทำกับข้าว (เจ๋งกว่าเรือสมัยนี้อีก มีครัวเสร็จสรรพ์) พระเอกก็จะนั่งเดินหมากล้อมกับแขกเกรื่อที่มาเยี่ยมบนเรือ ทั้งหมดอาศัยอยู่ในทะเลสาบและพเนจรกันไปที่ต่างๆตลอด
                       ที่น่าสังเกตอีกอย่าง คือ อาหารการกินบนเรือ มีหมูเห็ดเป็ดไก่ เหล้ายาปลาปิ้ง ให้ดื่มกินกันพร้อมสรรพ์ไม่ขาดสาย แล้วเคยสงสัยไม๊เค้าเลี้ยงไก่กันตรงไหนหรืออยากทราบ ปกติคนจีนที่ทำกับข้าวต้องมีการฆ่าไก่ แต่แม่นางบนเรือต่างแต่งตัวรุ่มราม ร่างกายบอบบาง แล้วใครจะเป็นคนฆ่าไก่ให้เพื่อนทานกัน  ที่น่ากลัวกว่าการฆ่าไก่ คือ หมูแดงค่ะ เลี้ยงไก่บนเรือพอรับได้ แต่เลี้ยงหมูนี่จะไหวหรือ จะว่าไปซื้อสำเร็จจากโลตัสก่อนขึ้นเรือสำราญก็ไม่น่าจะมีโลตัสในสมัยนั้น
                   ภายหลังจากให้มหาวิทยาลัยสอดรู้ทำการวิจัยและศึกษาอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งก็สามารถหาคำตอบที่เหมาะสมและเป็นเหตุเป็นผลได้แล้ว กล่าวคือ เรือสำราญของชอลิ้วเฮียงจริงๆแล้วเป็นต้นตำหรับของกิจการที่สำคัญอย่างหนึ่งของโลกนั่นก็ คือ กิจการเรือคาสิโน บริเวณชั้นล่างของเรือสำราญก็จะมีพร้อมทั้งไฮโล ถั่วโป (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เป็น บาคาร่า แบล็คแจ๊ก เป็นต้น) น้องสาวบนเรือ ส่วนหนึ่งก็เป็นพวกน้องสาวนั่งชั่วโมงที่ไว้รับแขกระดับวีไอพี ส่วนแขกที่สนิทกันก็มานั่งรับประทานอาหารกับ เฮียชอ ซึ่งเป็นเจ้าสัวร์คาสิโน อาหารก็มีเลี้ยงให้กับแขกที่มาเล่นอย่างอิ่มหนำไม่ต้องกลัวว่าจะหมด เพราะสามารถสั่งจากเหลาชั้นหนึ่งในตัวเมือง และเมื่อถึงเวลาต้องเปิดโต๊ะเล่นพนัน ก็ต้องแล่นเรือออกเพนจร สมัยนี้ก็ คือ แล่นออกน่านน้ำสากลหนีตำรวจน้ำและตำรวจบก สมัยนั้นก็คงหนีมือปราบและกฎหมายบ้านเมือง เมื่อแล่นเรือจนครบรอบแล้วก็นำลูกค้ากลับมาส่งเข้าตัวเมืองพร้อมรับลูกค้ารายใหม่ขึ้นเรือ พร้อมกับอาหารจากเหลาหรูกลางใจเมืองที่มีการสั่งจองไว้ล่วงหน้า ส่วนตัวเฮียชอก็ปล่อยให้แม่นางทั้งสามคอยดูแลกิจการ ตัวเองก็ออกไปเที่ยวสร้างคอนเนคชั่นใหม่ๆ ถ้ากิจการเป็นประมาณนี้เรื่อยไปก็พอเชื่อได้ว่าทั้งหมดจะกินอยู่อย่างสำราญไม่มีวันหมดสิ้น
               ไปใกลมากย้อนกลับมาเรื่องงานเขียนของ กิมย้ง พระเอกจะเป็นคนธรรมดาที่เราสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปตามท้องตลาด มีข้อดีและข้อเสียคละเคล้ากัน สร้างสีสันให้กับเนื้อเรื่องแตกต่างกันไป แต่คุณสมบัติหลักของพระเอกของกิมย้งมักมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ และที่สำคัญมีน้ำใจ
    โดยเฉพาะ ก๊วยเจ๋ง พระเอกของมังกรหยกภาคแรกซึ่งเดาว่าผู้เขียนคงตั้งใจเขียนให้ออกมาเป็น เด็กหนุ่มใสซื่อและแสนดี แต่เมื่อสร้างกันมาหลายรอบดูเหมือนยิ่งเล่นยิ่งโง่ยังไงไม่ทราบได้ ทีวีบีสร้างดีหน่อยก็จะดูเป็น ซื่อจนโง่แต่ก็น่ารัก ไต้หวันสร้างห่วยหน่อย ออกมากลาย โง่จนบื้อดี้อและดักดาน กลบความตั้งใจของกิมย้งตั้งใจให้ ก๊วยเจ๋ง มีจุดเด่นที่ ความซื่อสัตย์ภัคดี กตัญญู รักชาติ ตลอดถึงการเสียสละช่วยเหลือผู้คน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูจนรับเป็นศิษย์และกลายเป็น จอมยุทธอุดรในที่สุด
ภายหลังเค้าพบรักกับ อึ้งย้ง ซึ่งเป็นสาวสวยงามหยดฉลาดยิ่งยวด มีพ่อเป็นเจ้าเกาะ (ดอกท้อ) และแม่เป็นเจ้าหญิง (เมืองกิม) เหมือนชั้นที่มีพ่อเป็นคนแพร่แม่เป็นคนนครเลยออกมาสวยน่ารักฉลาดเลิศเหมือนอึ้งย้งไม่มีผิด และที่เหมือนกันอีกก็ คือ อึ้งย้งทั้งฉันและอึ้งย้งต่างก็เป็นเด็กแนวหลงรักและจีบเค้าก่อนเรื่อย (อึ้งย้งจีบพี่ก๊วยเจ๋งก่อน) โดยการทอดสะพานด้วยวิธีการต่างๆนาๆ ต่างกันก็แค่ฉันทอดจนเกรียมแล้วก็ยังไม่สำเร็จ แต่อึ้งย้งเค้าทำสำเร็จน่ะ

            อึ้งย้ง หรือชื่อเล่นว่า ย้งยี้(ชื่อคล้ายฉันน๊ะเพราะใครๆก็ชอบเติมยี้หลังชื่อฉันเรื่อยเพียงแต่มีชื่อกลางนิดนึง คือ โอ่งรึ...ยี้”) เติบโตมาอย่างแตกต่างกันสุดขั้วกับก๊วยเจ๋ง ประมาณว่าก๊วยเจ๋งโตแถวหนองบัวลำพู แต่อึ้งย้งเป็นเด็กที่เติบโตจากนิวยอร์กประมาณนั้น
             อึ้งย้งมีความฉลาดปราชเปรื่องจนภายหลังได้สมญาว่า ขงเบ้งหญิง หลายคนสงสัยว่า ฉลาดขนาดนั้นทำไมถึงรักผู้ชายโง่กันเล่า ฉันก็เลยพยายามวิเคราะห์เพิ่มเติมพบว่า สิ่งที่อึ้งย้งพอใจในก๊วยเจ๋งนอกจากเรื่องน้ำใจและความจริงใจแล้ว คือ การยอมเป็นทาสรับใช้สิ่งที่เหมือนกันระหว่างฉันกับอึ้งย้งอีกอย่างก็ คือ ความเป็นคุณหนู ที่มีคติหลักประจำใจ คือ บิดา คือ เครดิตการ์ด สามี คือ คนขับรถ ดังนั้น ด้วยความที่อึ้งย้งเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเองสูง ก๊วยเจ๋งก็เป็นบุคคลที่ไม่ค่อยมีข้อเรียกร้อง (DEMAND) จึงเหมาะมากสำหรับการเป็นคนขับรถ และปรับตัวเป็นคนรับใช้เป็นครั้งคราว
               แต่สำหรับฉันแล้วคงไม่สามารถทนผู้ชายอย่างก๊วยเจ๋งได้หรอก เพราะคุยกันครึ่งชั่วโมงอาจต้องมีการตามไปอธิบายกันอีกครึ่งวันกว่าก๊วยเจ๋งจะเข้าใจอะไรเป็นอะไร ที่สำคัญ ก๊วยเจ๋ง เป็นคนที่ยึดติดกับคำสอนของคนโบราณ และคุณธรรมเก่าแก่ของจีน ชนิดที่เรียกว่า มากมายงมงายเลย โดยไม่แยกแยะสถานการณ์ อีกทั้งขาดความมั่นใจในการเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง เช่น ถ้าแม่ไม่ตายไปก็อาจต้องแต่งงานเป็นราชบุตรเขยไปแล้ว เพราะความที่เป็นลูกผู้ชายพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น
                 แต่อย่างไรก็ตามข้อดีที่สุดเมื่ออ่านชีวิตก๊วยเจ๋งแล้วจะทำให้คนโง่ทั่วไป (ไม่ใช่ฉัน) รู้สึกมีกำลังใจ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าทุกคนไม่ได้เกิดมามีความพร้อมและมีความฉลาดเสมอไป แต่หากคนเรานั้นมีความพยายามและขยันทุกคนย่อมประสบความสำเร็จได้ และนี่ก็เป็นเสน่อย่างหนึ่งที่คนธรรมดาอย่างเราจะรู้สึกมีส่วนร่วมกับวรรณกรรมของ กิมย้ง ที่แสดงให้เห็นว่า สุดท้าย พระเอกก็เกิดจากคนธรรมดา แต่สำหรับฉัน คนโง่ ควรทำตัวให้หายโง่ก่อนแล้วค่อยทำอย่างอื่นจะดีกว่า
                 มังกรหยกจริงๆ แล้วมีหลายภาคต่อกัน ระยะเวลาต่างกัน การเรียงภาคก่อนหลังนั้นเรียงตามระยะเวลาที่กิมย้งเขียนขึ้น โดยเริ่มที่ภาค 1 ที่ชื่อแปลจากจีนตรงตัวว่า ประวัติจอมยุทธยิงอินทรีซึ่งมีตัวเอกคือ ก๊วยเจ๋ง และอึ้งย้ง ภาค 2 มีชื่อว่า จอมยุทธอินทรีซึ่งมีตัวเอกคือ เอี้ยก้วยและเซียวเล่งนึ่ง และทยอยเขียนต่อเติมภาคสาม ภาคสี่ ภาคห้า ให้เนื้อเรื่องให้ผูกกันเป็นเรื่องเดียว แต่หากเรียงตามระยะเวลาแล้วต้องให้ภาค 5 ซึ่งได้แก่ แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ขึ้นก่อนเพราะยุคสมัยมาก่อน และถึงแม้ว่า เดชคัมภีร์เทวดา หรือ จอมยุทธเย้ยยุทธจักร จะไม่ได้อยู่ในมังกรหยกทั้ง 5 ภาค แต่ผู้เขียนเห็นว่ามีความเกี่ยวข้องกันในแง่ของวิทยายุทธที่ต่อเนื่อง
                   กิมย้ง เปิดตำนานมังกรหยกด้วย มังกรหยกภาค 1 ประวัติจอมยุทธยิงอินทรีซึ่งคนที่เป็นตัวก่อเรื่องจนเป็นมังกรหยกภาคหนึ่งนี้ คือ นักพรตนาม คูชู่กี นักพรตที่ 3 ในเจ็ดนักพรตแห่ง สำนักช่วงจิงก่า เป็นสำนักเต๋าที่มีเจ้าสำนักเป็นจอมยุทธมือหนึ่งแห่งยุทธภพนามว่า เฮ้งเต็งเอี๊ยง หรือ เฮ้งช่งเอี๊ยง ดั่งคำที่ว่า คนเก่งมักสอนไม่เก่ง เพราะสุดท้ายสำนักนี้ก็ไม่มีศิษย์เก่งเลยแม้แต่คนเดียวที่สร้างชื่อให้กับสำนัก
           ต่างจากสำนักเต๋าอีกสำนักที่มีชื่อเสียงมากกว่า แม้ว่าจะเกิดทีหลังถึงกว่าร้อยปี ซึ่งก็ คือ สำนักบู๊ตึ้ง โดยมี เตียซำฮง เป็นปรมาจารย์ที่สอนเก่งทั้งด้านเพลงยุทธและคุณธรรมทำให้ลูกศิษย์ของสำนักบู๊ตึ๊งเป็นที่เลื่องลือ มวยไท๊เก็กก็ยังมีการฝึกฝนจนถึงปัจจุบัน (ใช้อ่อนสยบแข็ง)
          สำหรับ คูชู่กี ถ้าไม่มีนักพรตที่แสนจะมุทะลุ ใจร้อน คนนี้ เห็นที ก๊วยเจ๋งและเอี้ยคัง ก็จะเป็นเพียงครอบครัวชาวนาในหมู่บ้านหนิวเท่านั้น ดังนั้น สำหรับฉัน ตำนานมังกรหยก จึงเริ่มต้นเรื่องที่ความรักชาติแบบมุทะลุสไตล์นักพรตคูชู่กี ซึ่งเป็นพรตลัทธิเต๋าแต่ไม่ยอมละวางเรื่องทางโลก ปราศจากความเข้าใจว่าโลกมันเป็นเช่นนั้นเองตามสไตล์ความเชื่อของเต๋าน่ะน๊ะ
          เริ่มต้นที่การดักฆ่าขุนนางระดับกลางคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกศิษย์เอกของมหาอุปราชที่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า คิ โดยขุนนางคนดังกล่าวเป็นตัวแทนของอุปราชคิที่ทำหน้าที่มามอบของขวัญวันเกิดให้กับฮ่องเต้กิมก๊ก พร้อมกับเอกสารความลับทางทหารซึ่งนักพรตจอมมุทะลุเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารประกอบธุรกรรมการซื้อขายชาติ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไปสืบรู้มาได้ยังไง และที่สำคัญตอนที่ฆ่าน่ะเค้าก็ได้ทำธุรกรรมแล้วเสร็จไปเรียบร้อยขัดขวางอะไรก็ไม่ได้ แถมยังมีหน้ากล่าวด้วยความภูมิใจว่า ถึงแม้เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแต่ก็เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว พูดเองเออเองเสร็จสรรพ
          ท้าวความกันนิดนึง สำหรับผู้อ่านที่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติจีน (โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่ขนาดของประเทศไทยเอง ยังไม่เคยอ่านเลยนิ) สมัยที่นักพรตคูชู่กีหนุ่มๆนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ราชวงศ์ซ้อง(ซ่ง) ถูกกิมก๊กรุกรานจนสามารถจับฮ่องเต้ไปเป็นตัวประกันถึง 2 พระองค์ จนเกิดเป็นราชวงศ์ซ้องใต้ขึ้น โดยเหล่าขุนนางได้เชิญเชื้อพระวงศ์ที่เหลืออยู่ตั้งตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้ชื่อ ซ้องเกาจง
          ในขณะนั้นมีวีรบุรุษชื่อดังก้อง คือ งักฮุยซึ่งมีแม่ดีน๊ะเค้าสลักชื่อไว้กลางหลังเป็นอักษรจีน 4 ตัวซึ่งแปลเป็นไทยว่า กตัญญูรักชาติ ใจจริงก็ไม่อยากวิจารณ์แม่งั๊กฮุยน๊ะแต่ก็อีกนั่นแหล่ะซักนิด สักไว้กลางหลังแล้วจะอ่านยังไงล่ะ แม่ฉันไม่เหมือนกันน๊ะ ครั้งหนึ่งฉันถามแม่ว่า ตั้งพระพุทธรูปไว้หลังตู้ดีไหมค๊ะ แม่ตอบว่า แล้วลูกมองเห็นรึเปล่าล่ะ ฉันตอบว่า ไม่เห็นหรอกค่ะ แต่เราควรยกท่านไว้สูงๆ เป็นการแสดงความเคารพ แม่กลับบอกฉันว่า พระน่ะถ้าลูกไม่ตั้งไว้ในที่ที่สามารถมองเห็นและทุกครั้งที่ลูกมองเห็นก็จะเกิดความละอายใจและเกรงกลัวต่อบาป และพร้อมที่จะทำความดีแล้วล่ะก็ พระพุทธรูปก็เป็นเพียงวัตถุ (ดินปั้น) ที่ไม่มีคุณค่าอะไร ดังนั้น บ้านฉันเลยนิยมตั้งพระไว้ทุกหนทุกแห่ง เพื่อเตือนใจให้ทำความดีอยู่เสมอ (แม่ชั้นเจ๋งกว่าแม่งั๊กฮุย แต่ลูกเฮ้อ...ช่างมันอย่าไปพูดถึงเลยจะดีกว่า) กลับมาที่แม่งั๊กฮุยที่ดันสักสิ่งที่ตั้งใจสอนไว้ที่หลังจะอ่านกันยังไง สงสัยต้องให้คนอื่นอ่านให้ฟังบ่อยๆ
             ชาวบ้าน(จีน)เชื่อกันว่า งั๊กฮุยถูกกังฉินชื่อ ฉินขุ่ยใส่ความจนตายซึ่งอุปราชคิที่ว่าในเรื่องมังกรหยกนี้ก็น่าจะเป็นฉินขุ่ย หรือไม่ก็กังฉินก๊วนกอล์ฟเดียวกันนั่นแหล่ะ แต่ภายหลังก็มีการวิเคราะห์กันว่าความผิดที่แท้จริงน่าจะเป็นของซ้องเกาจงเองนั่นแหล่ะไม่ใช่คนอื่นคนใกลที่ไหน เพราะกลัวว่าหากงั๊กฮุยไล่ล่าไปถึงกิมก๊กจริง พ่อกับพี่ชายกลับมาตัวเองจะไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ซึ่งก็แสดงว่าอีตานักพรตคูที่แสนจะวู่วามนั้น ทำไปไม่ได้อะไรเลยไม่กระทบต่อคนเลวตัวจริงซักกะตี๊ดนึง
              คนส่วนใหญ่ชอบงั๊กฮุยและเกลียดฉินขุ่ย สำหรับฉันน๊ะ ออกจะตรงกันข้ามกับคนทั่วไปสักเล็กน้อย เพราะงั๊กฮุยถูกป้ายทองเรียกตัวกลับจาก ซ้องเกาจง ถึง 9 ครั้งแต่ไม่ยอมกลับ ในขณะที่ฉินขุ่ยเค้าทำงานสนองนโยบายซ้องเกาจงอย่างถึงอกถึงใจสำหรับฉันในฐานะคนเป็นนายคน ฉันชอบลูกน้องที่เชื่อฟังมากกว่าที่จะกระด้างกระเดื่องชอบคิดว่าตัวเอง คิดเองได้ และที่สำคัญฉันไม่ชอบการแก้ปัญหาที่หักด้ามพร้าด้วยเข่าอีกต่างหาก
               ไม่ได้บอกว่า งั๊กฮุย ผิดที่ไม่ยอมกลับแต่ผิดที่ไม่รู้จักการบริหารจัดการที่ดี ในฐานะนักการทหารที่ดีย่อมต้องรู้สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ศึกในนั้นรับมือยากกว่าศึกนอก แน่นอนหากงั๊กฮุยยังอยู่ กิมก๊กย่อมจะไม่เหิมเกริมถึงขีดสุดจนซ้งเสียแผ่นดิน ดังนั้น เพื่อรักษาความอยู่รอดของส่วนรวมในฐานะนักการทหาร งั๊กฮุยควรรีบกลับมาแสดงความจงรักภัคดี และจัดการสร้างความเชื่อมั่นให้กับเจ้านายตัวเองก่อน อ่านเกมส์ให้ออกแก้ทีละเปลาะ
          ฉินขุ่ยเค้าเป็นคนอ่านเกมส์ออกและไหลตามน้ำ เค้าจึงอยู่รอดในวงราชการ สำหรับฉันคุณธรรมต้องอยู่ในใจแต่ชีวิตต้องใช้ด้วยความฉลาด ไม่งั้นก็ตายเปล่า สละชีพเพื่อชาติแล้วชาติก็ยังไม่รอดทำไปทำไม (เสียเปล่า) ที่สำคัญที่สุด ฉินขุ่ย ยังเป็นเจ้าของต้นตำหรับปาท่องโก๋ ซึ่งเกิดจากการที่ชาวบ้านเค้าเกลียดฉินขุ่ยสองผัวเมียมากเลยปั้นเป็นแป้งแล้วนำไปทอด ยิ่งทำให้ฉันยิ่งชอบฉินขุ่ยเข้าไปใหญ่ คนสมัยนี้เป็นแบบงั๊กฮุยมีน้อยแล้วแต่คนส่วนใหญ่ยังคงกินปาท่องโก๋ (ฉินขุ่ย) ตอนเช้า ฉันว่าเค้าต้องมีดีบ้างแหล่ะ ชื่อเสียงและความอร่อยถึงอยู่นานขนาดนี้น๊ะ แต่ไม่มีใครทำขนมงั๊กฮุยมาให้ฉันพิจารณาบ้างอาจเปลี่ยนแนวคิดได้เพื่อของกิน
                  กลับมามังกรหยกอีกครั้ง นักพรตคูชู่กีภายหลังจากตัดหัวขุนนางซ้องผู้ขายชาติ (สำเร็จไปแล้ว) และกำลังเดินทางหนีการจับกุมของทหารไปไหนสักแห่ง ระหว่างที่เดินทางพร้อมหิ้วหัวขุนนางขายชาติผ่านหมู่บ้านเล็กๆชื่อว่า หมู่บ้านหนิว ฉันก็ไม่เข้าใจอีกเล็กน้อยที่มันเรียกหมู่บ้านเพราะมันมีบ้านกันแค่ 2 หลังเองเป็นหมู่แล้วหรือ แต่ก็น๊ะหนังจีนย่อมจะไร้เหตุผลสิ้นดีอยู่แล้ว บังเอิญจอมยุทธที่รักชาติมากอีกสองคนกำลังนั่งดื่มเหล้าวิจารย์การเมืองกันอยู่ สงสัยจะเครียดหลังจากนั่งดูข่าวทุ่มครึ่งจบไป ในงานเขียนของกิมย้นเค้าบอกว่าทั้งสองรักชาตินะ แต่การแสดงความรักชาติของทั้งสองเป็นความรักแบบเงียบๆ อยู่กันสองครอบครัวที่หมู่บ้านหลิวอันห่างไกล แทนที่จะไปเป็นทหารหรือลุกขึ้นสู้ ซึ่งทั้งสองก็คือ ก๊วยเซียวเทียนซึ่งเป็นพ่อของก๊วยเจ๋ง และเอี้ยทิซิม ซึ่งเป็นพ่อของเอี้ยคัง และปู่ของเอี้ยก้วย นั่นเอง
        ก๊วยเซียวเทียนอ้างว่าตนเป็นทายาทของผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน ที่ต้องบอกว่าอ้างเพราะว่าไม่มีหลักฐานทางพันธุกรรมที่พิสูจน์ได้แน่ชัด และไม่มีหลักฐานทั้งทางวัตถุหรือพยานที่สามารถระบุได้ แต่สำหรับ เอี้ยทิซิม ซึ่งเป็นลูกหลานของขุนศึกใหญ่เมืองซ้องที่คนไทยเรารู้จักกันดีในนาม ขุนศึกตระกูลหยาง(สำหรับภาษาจีน หยางหรือ เอี้ย ใช้ตัวหนังสือเดียวกัน) มีเพลงทวนสกุลเอี้ยซึ่งตั้งแต่ต่อสู้ต้นเรื่องยันท้ายเรื่องยังไม่เคยชนะจอมยุทธคนไหนเลย แต่ก็สามารถเป็นข้อพิสูจน์หนึ่งได้ว่า เค้าเป็นคนสกุลเอี้ยจริง ยืนยันโดยนักพรตคูชู่กี
          นอกจากเพลงทวนสกุลเอี้ยของเอี้ยทิซิมแล้ว ก๊วยเซียวเทียนมีกระบี่ตะขอคู่ ในขณะที่ นักพรตคูชู่กี มีวิชากระบี่เจ็ดดาว (ช่วงจิงก่า) บวกกับพละกำลังที่เหนือมนุษย์ทั่วไป สังเกตได้จากการยกกระถางธูปขึ้นบันได พอเจอกันปุ๊บ นักพรตคูชู่กี ด้วยนิสัยมุทะลุ ไม่ถามไถ่ให้ชัดเจนก็ตีกันทันที จนเอี้ยทิซิมแสดงเพลงทวนสกุลเอี้ยออกมาก็ทำให้นักพรตคูชู่กีเชื่อมองออกทันที และยืนยันบทสรุปซ้ำอีกครั้งว่าเค้าทั้งสอง เป็นผู้รักชาติ
           พอถึงตอนนี้ คนดูจะรู้สึกว่า นักพรตคูชู่กี นี่เก่งสุดยอดแต่ถ้าดูจนจบนะ วิทยายุทธนักพรตคูชู่กี ก็งั้นๆ แต่สิ่งสำคัญคือ นักพรตคูชู่กี นี่เองที่นำความซวยมาสู่สองครอบครัวสกุลก๊วยและสกุลเอี้ย เนื่องจาก นักพรตคูชู่กี หนีทหารกิมก๊กผ่านมายังบ้านไร่เมืองร้างของทั้งสองสกุลทำให้ภายหลังเกิดเป็นความพลัดพรากและกลายเป็นต้นตอของเรื่องมังกรหยกในที่สุด
                มาถึงตอนนี้ฉันอยากออกนอกเรื่องอีกซักเล็กน้อย ถ้าเปรียบแผ่นดินซ้องสมัยนั้นกับรัฐบาลไทยสมัยปัจจุบันที่มีจอมยุทธ์ที่อ้างตัวเป็นผู้ทรงคุณธรรมแสนจะมุทะลุอย่าง คุณ ส. เจ้าของหนังสือพิมพ์ชื่อดังฉบับหนึ่งที่ฉันเลิกอ่านไปแล้ว (นักพรตคูชู่กีภาคไทย) และวิธีการแก้ไขปัญหาทางการเมืองก็คล้ายกัน คือ มุ่งไล่ล่าตัวบุคคลมากกว่าระบบ และก็ทำวิธีการเหมือนกันด้วยน๊ะ คือ นักพรตคูชู่กีแทนที่จะไปตัดหัวฉินขุ่ยกลับกล้าตัดหัวแค่ลูกศิษย์ซึ่งไม่มีบทบาทอะไรเลย เหมือนที่พยายามล้มนายกหุ่นเชิดแล้วร้องแร่แห่กระเชอกันว่าเป็น ชัยชนะของประชาชน ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าเค้าเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด และผู้กุมอำนาจจริงก็พร้อมที่จะเชิดหุ่นตัวใหม่ แต่ก็นั่นแหล่ะ เมื่อซื้อสื่อมาไว้ในมือแล้วก็ต้องหาเรื่องตื่นเต้นเพื่อให้ขายได้เรื่อยๆ ฉันไม่ชอบรัฐบาลที่กุมอำนาจแล้วทำตามใจชอบหรอกแต่ก็ไม่ชอบพวกปากว่าเป็นผู้ทรงคุณธรรมแต่สร้างความเดือดร้อนให้บ้านเมืองเหมือนกัน
            ส่วนพวกก๊วยเซียวเทียนและเอี้ยทิซิม ก็เป็นเหมือนพลังเงียบในประเทศไทย เหมือนพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจที่แต่ละคนก็บอกว่ารักชาติ แต่ถึงเวลาก็นั่งทานสุกี้หน้าข่าวทีวีแล้วด่ารัฐบาลทุกวัน โดยไม่ลุกขึ้นทำอะไร จนในที่สุดปัญหาการเมืองเข้ามาถึงหน้าบ้านแล้วค่อยลุกขึ้นด่าออกมานอกบ้านบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ทำอะไรอยู่ดี
             กลับมาในเรื่องต่อ (ก่อนที่จะโดนกระทรวง ICT สั่งปิดบล๊อค) พวกก๊วยเซียวเทียนและเอี้ยทิซิมหลังจากจิบเหล้า ดูข่าว และวิจารณ์ข่าวโมเดินไนล์ได้ขณะหนึ่งแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นนักพรตเดินหิ้วห่อผ้าแดงท่าทางหนาว ก็เลยเอ่ยปากชวนให้เข้ามาพักข้างในแล้วดื่มเหล่า แต่ลุงชู่กีแกไม่พูดพล่ามทำเพลง ระแวงเค้าว่าเป็นผู้ร้ายเสร็จสรรพแล้วก็ต่อสู้กัน จนในที่สุดเห็นเพลงทวนสกุลเอี้ย (ซึ่งไม่น่าจะฝึกยากอะไร) ก็เชื่อเสร็จสรรพว่าทั้งสองเป็นผู้รักชาติ ก็หยุดแล้วก็ตั้งโต๊ะใหม่มาดื่มกินดูทันคนทันข่าวพร้อมวิจารณ์การเมืองตามประสาคอคนรักชาติแบบเงียบ
              เคราะห์หามบวกกับยามร้าย ทหารตามมาทัน (ขัดลาบปาก) ต้องออกมาไล่ฆ่าทหารก่อนเพื่อกันข่าวรั่วไหล (แต่ก็ฆ่าไม่หมดเหลือตัวสำคัญไว้) และเป็นขณะเดียวกันกับที่ เปาซือเยาะ ภรรยาของเอี้ยทิซิมเกิดแพ้ท้อง เลยโชคดีรู้ว่าท้อง ก้วยเซียวเทียนกับเอี้ยทิซิมจึงขอให้นักพรตมุทะลุตั้งชื่อให้ลูกทั้งสอง นักพรตก็เลยตั้งว่า ก้วยเจ๋ง กับ เอี้ยคัง ตามฮ่องเต้ เจ๋งคัง ที่ถูกจับไปเป็นเชลยที่กิมก๊กนั่นแหล่ะ ตั้งชื่อลูกยังไม่วายยุ่งการเมือง เคราะห์หามยังไม่จบแค่นั้น ตอนดึก เปาซือเยาะ นำไฟไปย่างกระต่ายกับไก่ อุ๊ย!ไม่ใช่เธอเป็นนางงามต้องเอาไฟไปทำให้อบอุ่นต่างหาก (ถ้าเป็นชั้นเห็นไฟเป็นต้องย่างอะไรกินซักอย่าง) เธอก็พบกับชายชุดดำโดนลูกดอกปักบาดเจ็บ (คนสำคัญที่ไม่ตายที่บอกไว้ก่อนหน้านี้อ่ะ) และเพราะความขี้สงสารบวกกับเป็นหญิงชาวบ้านที่มัวแต่เข้าครัวตอนสามีดูข่าว ก็เลยไม่สามารถคิดได้ว่าถ้าช่วยไปแล้วครอบครัวจะพากันซวย เพราะคนที่บาดเจ็บนี้ คือ "ง่วนเฮี้ยงอั้งเลียก" องค์ชายหกแห่งกิมก๊ก (อ๋องเจียว) ดั่งคำว่า "เมตตาเขาเอ็นเราขาด" หรือ"โปรดสัตว์ได้บาป" ก็เป็นดังต่อไปนี้
            หลังจากเคราะห์หามไปแล้ว ยามร้ายก็ตามมานำพาโดยนายกองเล็กๆคนหนึ่ง ชื่อ ต้วงทีเต็ก ที่อ้างว่านำทหารมาจับกบฎส่งผลให้ก้วยเซียวเทียนถูกทหารฆ่าตายไป และเอี้ยทิซิมโดนลูกธนูตกเหวไป ซึ่งตามปกติเป็นที่ทราบดีกันในหมู่คอหนังกำลังภายในว่า เหวจีนนั้นไม่ลึกหรอก และเปี่ยมไปด้วยสิ่งที่น่าค้นหา ว่างๆฉันก็ว่าจะลองไปโดดดูบ้างเผื่อได้วิชาดีๆกลับมา ดังนั้น เมื่อเอี้ยทิซิมตกเหวไปย่อมเป็นที่รู้กันดีว่า ยังไม่ตายแน่ๆ
               แท้จริงแล้วง่วนเฮี้ยงอั้งเลียกต่างหากที่วางแผนซ้อนแผน (แบบช่องโหว่เพียบแต่มีเฉพาะคนในหนังนั่นแหล่ะที่ดูไม่ออก) โดยให้ทหารซ้องมาจับตัวเอี้ยทิซิมฆ่าเสียแล้วแย่งเมียเค้ามา แล้วตัวเองก็ให้บังเอิญโผล่ออกมาช่วยนางเอกไว้ แล้วจึงเปิดเผยภายหลังว่าเป็นอ๋องหกแห่งกิมก๊ก โอ๊ยอะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น ถ้าสมัยนั้นมีทีวี หรือ ดีวีดี หนังจีนชุดซะหน่อย นางเปาเซี๊ยะเยาะน่าจะอ่านออกว่า ไอ้บ้านี่แหล่ะที่วางแผนฆ่าผัวตรูอ่ะ
             แต่ว่าเธอก็ตอบแทนเค้าได้เจ็บปวดสะใจมากน๊ะจะว่าไป ดั่งคำที่ว่าได้กายแต่ไม่ได้ใจ เพราะถึงเธอจะเป็นถึงเจ้าจอม เธอก็ยังนั่งรอสามีในกระท่อมฟางที่อ๋องเจียวอุตส่าให้กองกำลังทหารไปยกมาตั้งไว้กลางวังของพระองค์ โดยเจ้าจอมก็ยังนั่งลูบคลำเสื้อผ้าสามีเดิมนานถึง 20 ปี โดยไม่มีสายตาอ่อนโยนให้อ๋องเจียวเลย หรือจริงๆ เธอจะรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ฉลาดพอที่จะพยายามหาคนมาช่วยเลี้ยงลูกตามสัญชาติญาณของคนเป็นแม่ก็ไม่รู้
            สำหรับมุมมองของฉันแล้ว ฉันว่าอ๋องเจียวเป็นผู้ชายและพ่อที่ใช้ได้ทีเดียว เพราะโดยส่วนตัวแล้วอ๋องเจียวเป็นคนรักครอบครัวมาก ในฐานะผู้ชายคนนึงเค้ารักเดียวใจเดียว ออกจะใจกว้างมากขนาดที่ภรรยาตัวรักและคิดถึงผู้ชายคนอื่นก็ยังไม่เอามาถือสาหาความแถมเอาอกเอาใจ พยายามทุกทางที่จะทำให้คนที่ตัวรักมีความสุข ไม่สนใจว่าจะได้รับผลตอบแทนแห่งความรักกลับมาหรือไม่ ในความเป็นพ่อ อ๋องเจียวรักลูกเลี้ยงมาก เค้าให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเอี้ยคังดั่งพ่อแท้ๆที่รักลูกคนหนึ่งของตนทีเดียว
            นอกจากนี้ ยังเป็นบุคลากรที่มีความเป็นผู้นำสูงทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชอบใช้งานคนที่มีความสามารถ สังเกตได้จากมีบุคลากรรอบตัวที่มีความสามารถมากมายคอยช่วยเหลืออย่างทุ่มเทกายใจซื่อสัตย์ภัคดี เรื่องความพยายามทำประโยชน์ให้แผ่นดิน นอกจากนี้ยังเป็นคนฉลาด สังเกตได้จากการใช้กลยุทธ์การยุแยงให้ราชวงศ์มองโกลขัดแย้งกันเองและเกิดสงครามภายในเพื่อให้กิมก๊กสามารถปกครองได้ยาวนาน
               นอกจากเรื่อง ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ที่เกิดจากความรักบังตาแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็น่าประทับใจทั้งสิ้น เพียงแต่แผ่นดินซ้องเป็นแผ่นดินของพระเอก คนที่ไม่ใช่ชาวซ้องก็เลยต้องเป็นผู้ร้ายไป
          ทางด้านแม่ของก้วยเจ๋งซึ่งถูกต้วงทีเต็กจับไปเป็นตัวประกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับนักพรตคูชู่กีโดยหนีไปหลบอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งมีไต้ซือเป็นอาของต้วงทีเต๊กแล้วตอนนี้เองที่ กิมย้ง นำนักพรตคูชู่กีไปพบกับคู่ต่อสู้ใหม่ คือ "เจ็ดประหลาดแห่งกังหนำ" และด้วยความไร้เหตุผลสิ้นดีของทั้งสองฝ่ายอีกนั่นแหล่ะ เพราะสมัยก่อนไม่มีนักการเงินไงคนจึงไม่รู้จักว่า ก่อนจะทำอะไรต้อง DUE DILIGENCE ก่อน (แปลว่าตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล) เพราะการสื่อสารที่ผิดพลาดจึงทำให้ฆ่ากันเกือบตายแล้วผู้ร้ายก็หนีไป กล่าวคือ ต้วงทีเต็ก จับแม่ของก้วยเจ๋ง (ชื่ออะไรไม่เคยจำได้) แล้วไปหลอกอาของตัวเองซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งว่า แย่งผู้หญิงกับนักพรตบ้าคลั่ง (จริงๆ แล้วก็สมชื่อนักพรตบ้าคลั่งอยู่) ภาพลักษณ์ภายนอกประกอบกับนิสัยของนักพรตคูชู่กีก็ทำให้เจ้าอาวาสเชื่อสนิทใจ แล้วก็ออกโรงปกป้องเสร็จสรรพ ชวนเพื่อน คือ คอเจ๊กอั๊ก (พี่ใหญ่ของเจ็ดประหลาดแห่งกังหนำ) มาช่วย ซึ่งพวกเจ็ดประหลาดเค้าต้องไปไหนไปด้วยอยู่แล้วน่ะน๊ะ แล้วทั้งสองฝ่ายก็คุยกันไปตีกันไปแบบไร้เหตุผลสิ้นดีอยู่พักใหญ่จนบาดเจ็บกันหมด แล้วต้วงทีเต็กก็หนีไปพร้อมแม่ก้วยเจ๋ง ซวยไม๊
              การต่อสู้ครั้งนี้สู้กันจนโรงเตี๊ยมถล่มทลายด้วยสุดยอดวิทยายุทธล้ำเลิศ แต่ก็อีกแหล่ะ ถ้าเราดูกันจนจบพวกนี้ทั้งหมดจะกลายเป็นพวกจอมยุทธปลายแถวไร้ชื่อไร้เสียงไปทันที แต่บังเอิญว่าจอมยุทธในความหมายของกิมย้งนั้นวัดกันที่ น้ำใจ ดังนั้น ถึงเค้าทั้งหลายจะไม่มีวิทยายุทธสุดล้ำลึก แต่ทุกคนนับว่ามีความโดดเด่นในเรื่องน้ำใจ
              ดูจากการที่ นักพรตว่างงานคูชู่กี ช่วยตามหาลูกเมียของสหาย (ชั่วหนึ่งก๊งเหล้าที่ตัวเป็นคนนำความเดือดร้อนไปแจกเป็นทานถึงบ้าน) จนต้องมาปะทะกับเจ็ดประหลาดแห่งกังน้ำ และยังมีน้ำใจของเจ็ดประหลาดกังน้ำที่ดันไปรับคำท้าว่าจะกลับมาประลองกันอีกครั้งหลังจากผ่านไป 20 ปี ซึ่งส่งผลให้เจ็ดประหลาดแห่งกังน้ำที่คาดว่าเป็นกลุ่มผู้พิการและว่างงานเช่นกันต้องเสียเวลาไปถึง 20 ปี เพื่อตามหาก๊วยเจ๋ง และสอนวิทยายุทธให้ก๊วยเจ๋งทั้งที่ไม่ได้เป็นญาติโยมกัน และอาจไม่ได้ค่าหน่วยกิจด้วย แต่ชาวยุทธจักรชาติจีนนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของ เสียอะไรก็ได้ เสียหน้าไม่ได้ เรื่องจึงดำเนินต่อไปแบบไร้เหตุผลสิ้นดี
                ในตอนนี้ กิมย้ง พยายามเน้นให้เห็นปัญญาของนักพรตคูชู่กี ในการใช้น้ำใจเป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อให้เจ็ดประหลาดฯ เดินทางไปช่วยก๊วยเจ๋ง ขณะที่ตัวเองเดินทางไปช่วยเอี้ยคังกับภรรยาของเอี้ยทิซิม
                    แต่โดยส่วนตัวแล้วฉันกลับมองว่า นักพรตคูชู่กี เป็นคนที่ใจร้อน หูเบา ไม่ฟังเหตุผล และเชื่อมั่นในฝีมือตัวเองมากเกินพอดี เพราะนอกจากจะก่อเรื่องจนครอบครัวก๊วยเจ๋งและเอี้ยคังต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ก๊วยเซียวเทียนต้องตายจากไปแม่ก๊วยเจ๋งต้องพลัดพรากจากบ้านไปอยู่ไกลถึงมองโกล ภายหลังนักพรตคูชู่กียังไล่ล่าหาเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน นอกจากทะเลาะกับเจ็ดประหลาดฯ แล้วยังทะเลาะกับอึ้งเอี๊ยซือเพราะความหูเบาอีกด้วย เอะอะก็ใช้กำลังตัดสินปัญหาตลอด ชั้นไม่ค่อยจะเห็นข้อดีของนักพรตบ้าคนนี้เลยอ่ะ
                      นอกจากนี้ นักพรตคูชู่กียังได้ชื่อว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่มีศักยภาพสูงในการสอนศิษย์ให้เป็นโจร ลูกศิษย์เอกแต่ละคน สร้างชื่อเสียสลักไว้ในโลกา กล่าวคือ ศิษย์เอกคนแรก เอี้ยคัง ก็ได้ชื่อว่าเลวที่สุดในแผ่นดินจนไม่มีแผ่นดินให้อยู่ กิมย้งบรรยายคุณสมบัติเอี้ยคังไว้ว่า อกตัญู ขายชาติ เรียกโจรเป็นพ่อ มักใหญ่ใฝ่สูง เจ้าเล่ห์เพทุบาย เป็นเจ้าของแผนร้ายร้อยแผน ขอโทษเถอะสอนกันยังไงชั่วได้ถึงขนาดนี้ หรือเพราะมารตฐานแบบเรียนไม่ได้ผ่านการสอบทานจากกระทรวงศึกษาธิการจีนสมัยนั้น
                    สาเหตุที่เอี้ยคังเสียคนนี้เรียกได้ว่า เหตุผลหลักอย่างหนึ่งเพราะนักพรตคูชู่กีเองทั้งๆที่นักพรตคูชู่กี เดินทางไปพบสองแม่ลูกสกุลเอี้ยตั้งแต่เอี้ยคังยังอายุน้อย ดั่งคำพูดที่ว่า ไม้แก่ดัดยาก นักพรตคูชู่กี ไม่ควรปล่อยให้สองแม่ลูกอาศัยอยู่ในวังของอ๋องเจียวแห่งกิมก๊ก เพราะจะทำให้เอี้ยคังเติบโตมาอย่างชาวกิมก๊ก และเข้าใจว่าตัวเองเป็นชาวกิมก๊กมาตลอด เป็นเหตุให้ภายหลังถูกประณามว่า ขายชาติ และเรียกโจรเป็นพ่อ และด้วยนิสัยที่ชอบเอาชนะ นักพรตคูชู่กี จึงได้สอนวิทธยายุทธให้กับเอี้ยคัง โดยมิได้เน้นเรื่องคุณธรรม ทำให้เอี้ยคังเติบโตขึ้นมาเป็นคนเก่งฉลาดปราศจากคุณธรรม
                     ต่างจากอาจารย์ของก๊วยเจ๋ง ที่เน้นเรื่องคุณธรรมและน้ำใจ (ส่วนหนึ่งอาจเพราะวิทยายุทธห่วยด้วยเลยสอนอย่างอื่นแทน) เห็นได้จากการที่ก๊วยเจ๋งต้องคุกเข่าคารวะ อาจารย์ห้าที่เสียชีวิตไปโดยที่ยังไม่เคยสอนวิชาให้เลย เป็นการสอนให้เด็กมีสัมมาคารวะต่อครูอาจารย์ และการแสดงออกถึงน้ำใจที่มีต่อกัน นอกจากนี้ อาจารย์ทั้งหกคนยังเน้นเรื่องการสำนึกผิดเวลาทำผิด และคุณธรรมต่างๆ ประกอบกับการสอนวิชา ที่สุดท้ายก๊วยเจ๋งไม่ค่อยเก่งวิทยายุทธ์สักเท่าไร แต่มีคุณธรรมน้ำใจเต็มเปี่ยม
                      ถ้ามาเทียบกับสมัยนี้ ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่กลายเป็นอาจารย์แบบนักพรตคูชู่กีไปหมด โรงเรียนที่สอนก็กลายเป็นโรงเรียนไสตล์ช่วงจิงก่า ซึ่งเน้นเรื่อง ชื่อเสียงของโรงเรียน มากกว่าคุณภาพและคุณธรรมของนักเรียน ส่งผลให้มีคนเก่งที่สร้างปัญหาให้สังคมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หมอฆ่าภรรยา นักกฎหมายศรีธนนชัย เป็นต้น
                  อีกปัญหาหนึ่งที่สร้างให้เด็กเติบโตมาอย่างมีปัญหา คือ พ่อแม่และครอบครัว สังเกตได้ว่า แม่ของเอี้ยคังเลี้ยงลูกต่างจากแม่ของก๊วยเจ๋งมาก ถึงแม้ว่าเด็กทั้งสองจะเติบโตขึ้นในต่างแดน (พวกเด็กจบนอก) แต่แม่ของก๊วยเจ๋งสามารถสร้างสำนึกในความรักชาติและกตัญญูโดยก๊วยเจ๋งต้องคุกเข่าหน้าป้ายศพพ่อสำนึกเรื่องทั้งสองเสมอๆ ดังนั้น เมื่อถึงเวลาต้องเลือกระหว่างเมืองซ้องกับมองโกล ก๊วยเจ๋งจึงเลือกแผ่นดินซ้องอย่างไม่ลังเล ในขณะที่แม่เอี้ยคังซึ่งจมกับความหลังและรักสามี (เก่า)มากกลับไม่เคยเอ่ยถึงพ่อของเอี้ยคังให้ลูกได้รับรู้เลย นอกจากนี้ อ๋องเจียว ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงด้วยความรักจึงเลี้ยงอย่างตามใจ ให้เงินให้ทอง Spoil กันเต็มที่ เอี้ยคังจึงเติบโตขึ้นมาอย่างฟุ้งเฟ้อมักใหญ่ไฝ่สูง ซึ่งจะโทษใครได้นอกจากผู้ใหญ่ที่สร้างให้เด็กเติบโตมาเช่นนี้ แต่งานนี้จะโทษอ๋องเจียวตรงๆ ก็ไม่ได้ เพราะอ๋องเจียวทำไปด้วยความรักเอี้ยคังจริงๆ ถึงแม้ว่าเจ้าจอมเปาซือเยาะจะเสียชีวิตไปแล้ว อ๋องเจียวก็ยังรักเอี้ยคังไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ต่างจากเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ดังนั้น เราจะโทษใครอื่นไปไม่ได้นอกจากนักพรตคูชู่กีซึ่งเป็นอาจารย์
                 เอาน่าคนเราครั้งแรกพลาดกันได้ผลิตศิษย์ชั่วมาหนึ่งคนยังพออภัย แต่หลังจากจบตำนานมังกรหยกภาคหนึ่งไป ตำนานของนักพรตคูชู่กีและลูกศิษย์ยังไม่จบ ในภาคสองสำนักช่วงจิงก่า โดยเฉพาะสองศิษย์อาจารย์ นักพรตคูชู่กี และ ศิษย์เอกคนที่สอง คือ นักพรตอื้อจื่อเพ้ง ผู้ซึ่งบวชเป็นนักพรตตั้งแต่อายุยังน้อย ดูจากมังกรหยกภาค 1 จะพบว่านักพรตอื้อจื่อเพ้งมีนิสัยเชื่อมั่นในตัวเองสูง (เหมือนอาจารย์มันเปี๊ยบเลย) อื้อจื่อเพ้งคิดว่าสำนักช่วงจิงก่านั้นเลิศเลอเหนือใคร ถ้าอยู่อเมริกาก็คงประมาณฮาร์วาร์ด ประเทศไทยก็ประมาณจุฬาฯ นอกจากนี้ยังเป็นคนชอบดูถูกคนอื่น ตอนที่มาพบและลองวิชากับก้วยเจ๋ง (ถ้าเทียบก็คงประมาณจบวิทยาลัยราชภัทรแถวต่างจังหวัดกันดาร) ก็แสดงอาการดูถูกอย่างเห็นได้ชัด จนโดนอาจารย์ตาบอดแห่งราชภัฎเจ็ดประหลาดกังหนำซัดไปหนึ่งที อาจเพราะนักศึกษาจุฬาฯ ลืมไปว่าราชภัฎฯ เขาย่อมเก่งเรื่องต่อยตีนอกรอบเช่นกัน
                 นอกจากนี้ ช่วงที่ก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้ง รักษาตัวที่หมู่บ้านหลิว นักพรตอื้อจือเพ้งพูดจาดูถูกอึ้งเอี๊ยซือ ต่อหน้า เล็กก้วงเอ็ง ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นหลานของอึ้งเอี๊ยซือ ทำให้ทนไม่ได้ต้องตีกันในที่สุด เหมือนกันทั้งศิษย์อาจารย์ และเรื่องก็ยังคงดำเนินมาถึงภาค 2 ด้วยการสร้างปมปัญหาให้เกิดเป็นตำนานมังกรหยกกันต่อไปของสองศิษย์อาจารย์ และสำนักที่แสนโด่งดังนาม ช่วงจิงก่าภายใต้ฉากที่แสนจะคลาสสิก คือ ฉากที่อื้อจือเพ้งปล้ำเซียวเหล่งนึ่ง (นางเอกของภาค 2) นั่นเอง แล้วสองศิษย์อาจารย์ก็ยังหน้าด้านขึ้นเป็นเจ้าสำนักช่วงจิงก่าทั้งคู่ในที่สุดอีกด้วยสุดยอด
                   นี่แหล่ะเครื่องยืนยันว่า เมื่อความรู้ไม่มาคู่กับคุณธรรม โลกย่อมยากที่จะเกิดความสันติสุข นี่ขนาดโรงเรียนนักพรต (นักบวช) น๊ะเนี่ย ฉันไม่แน่ใจว่า กิมย้งตั้งใจผูกปมทั้งหมดผ่านนักพรตวู่วามนามคูชู่กีรึเปล่า แต่เรื่องราวการเปิดตัวของมังกรหยกมันดูรายล้อมเข้าหานักพรตว่างงานท่านนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันจึงเขียนเรื่องของเค้าขึ้นเพื่อเปิดตัวมังกรหยกในฉบับของฉันเอง โดยที่คนอื่นๆ จะกล่าวถึงเป็นช่วงๆ ในตอนถัดๆไป
                    โปรดรอคอยตอนต่อไป....................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น