วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

ฉันท์ชนากับราชินีบนรียูเนียน (ภาค 2)
หลังจากโพสภาค 1 ไปก็เริ่มมีคนเรียกร้องขอภาค 2 และมีคนขอชีวิตรักของโอ่งด้วย (เนยขอมา) โอ้วต้องจัดให้แน่ชีวิตรักเนี่ย แต่สิ่งที่อยากเขียนแรกๆตรงนี้ ก็ยังอยากเน้นเขียนถึงเพื่อนราชินีบนที่เราย้อนกลับมาเจอกันอีกครั้ง เมื่อวันก่อนในสระว่ายน้ำเนยบอกว่า ที่อุตส่าทำบ้านให้มี Facilities ขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็อยากให้เป็นเหมือนศูนย์รวมของเพื่อนเก่าๆ อยากให้พวกเรากลับมารวมตัวกันและเวลาที่พวกเราแก่ตัวไปกว่านี้อยากไปเที่ยวด้วยกันเยอะๆ หลายครอบครัว เนยไม่รู้หรอกว่า ประโยคเล็กๆ นั้นมัน Light Up My Life มากมายขนาดไหน
สำหรับโอ่งแล้วชีวิตในโลกบางทีมันก็โหดร้ายและเหงามากเลยนะ โดยเฉพาะวงการที่โอ่งทำงานมันมีการหักเหลี่ยมเฉือนคมเหมือนในหนังเลย ความโชคดีของโอ่ง คือ โอ่งมี พระธรรม ของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งทางใจที่สุดยอดที่สุด (อันนี้เบียร์น่าจะเห็นด้วยที่สุด) หากคนภายนอกรู้ว่าโอ่งต้องเจอกับอะไรมาบ้างและต้องผจญอยู่กับอะไรบ้าง คนเหล่านั้นคงต้องตกตะลึงว่า ไม่น่าเชื่อว่าคนๆนี้จะยังออกมาผจญโลกได้พร้อมรอยยิ้มและยังคงมีความสุขได้อยู่อย่างทุกวันนี้หรอก แต่โอ่งไม่สามารถเล่าเรื่องเหล่านั้นออกสื่อได้ เพราะแม้แต่พ่อแม่พี่น้องก็ไม่ค่อยจะมีใครที่เข้าถึงและรู้จักตัวตนที่แท้จริงของโอ่งเท่าไร แถมโอ่งก็ไม่ต้องการให้ใครมารู้จักตัวตนที่แท้จริงมากเกินไปเพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานและผลประโยชน์ของทั้งส่วนตัวและองค์กรได้ เพราะด้วยหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ในโลกนี้จะมีคนมากมายที่พยายามเข้าถึงและหาผลประโยชน์จากเรา อันนี้เนยอาจเป็นคนที่เข้าใจดี เพราะเมื่อเราเดินไปถึงจุดๆ หนึ่งการมีเพื่อนสักคนกลับกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก และนั่นคือเหตุผลหลักที่ โอ่งเป็นคนมีเพื่อนน้อยมาก และเพื่อนสมัยเรียนส่วนใหญ่แทงบัญชี คนสูญหายไปแล้ว
ถ้าคำว่า เพื่อนมีความหมายแค่ คนที่เราจริงใจด้วยและจริงใจกะเรา (ไม่ประสงค์ร้ายและไม่หวังผลประโยชน์) อันนี้น่าจะมีเยอะอยู่เพราะโอ่งมีทั้งเพื่อนทั้งพี่ทั้งน้องร่วมโลกมากมายที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นได้ แต่เวลาที่โอ่งคิดถึงคำว่า เพื่อนแท้ โอ่งหมายความรวมถึง คนที่รู้จักตัวตนจริงของเราทั้งมุมดี และมุมร้าย (ที่เหมือนว่าเราจะมีเยอะกว่ามุมดีนะ) แต่คนนั้นก็ยังรักเราและรับได้ โลกนี้สำหรับเราน่าจะมีไม่เกิน 5 คน
ชีวิตเราทุกคนก็คงมีความฝันหลากหลายแตกต่างกันไป แต่สำหรับบางคนการสร้างสิ่งต่างๆ ให้กับชีวิตตนเองอาจแตกต่างจากความฝันที่เราเคยมี แต่ด้วยแรงขับดันบางอย่างมันผลักดันจนเราเป็นในสิ่งที่เราเป็น มีในสิ่งที่เรามี เพื่อนบางคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอาจดูเหมือนน่าอิจฉา แต่สำหรับโอ่ง เพื่อนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างครอบครัว และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขต่างหากที่น่าอิจฉากว่า เพราะความสำเร็จในหน้าที่การงานนั้นเวลาที่เราหยุดทำมัน ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า...บวกกับความเหงาที่เหลือเชื่อเลยทีเดียว...
แต่พอมารียูเนียนกับเพื่อนราชีนี ความรู้สึกเหมือนกลับไปตอนเด็กๆ อนุบาลก็กลับมาอีกครั้ง การปลุกความเป็นเด็กกลับออกมาเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขอย่างเหลือเชื่อมาก เพราะตอนนั้นเราไม่มีหน้ากาก ไม่มีกำแพง ไม่มีผลประโยชน์ มันมีแต่คำว่าเพื่อนและความภูมิใจในความสำเร็จของเพื่อน
คนแรกที่โอ่งประทับใจมากที่สุดหลังจากกลับมาเจอทุกคน คือ ดิวเพราะดิวเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นศูนย์กลางในการจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ตั้งแต่แรก และจัดได้ดีมากด้วย โอ่งเลยอยากเล่าความรู้สึกที่มีกะดิวสมัยเด็กๆ จริงๆแล้วโอ่งจำดิวได้ดีและเคยอยู่ห้องเดียวกะดิวหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยกล้าคุยกะดิวหรอก อย่างที่บอกในภาคแรก คือ สมัยอยู่ราชินีบนความรู้สึกเหมือนอยู่ในวังที่มีการแบ่งชนชั้น (ตามความคิดแบบเด็กๆ) ดังต่อไปนี้
โอ่งแบ่งพวกเพื่อนที่เรียนเก่งมากๆ บ้านก็รวย ส่วนใหญ่จะเก่งดนตรีด้วย และเพื่อนฝูงรุมล้อมเป็นเสมือนพวกเจ้า (เชื้อพระวงศ์) เช่น หนูนา (นาตาลี) อ้อ (กุลชาดา) อ้อ (สุธาสินี) เดือน (นนทลี) เป็นต้น สำหรับโอ่ง ดิวก็อยู่ชนชั้นพวกเจ้านี่แหล่ะ และชนชั้นที่รองลงมา คือ ชนชั้นที่เป็นพวกทอมซ่าหรือนักกีฬาสุดเท่ เช่น เบียร์ และพี่หยิม (ที่เป็นนักแบดอ่ะ) ชนชั้นที่สาม คือ คนที่สนิทสนมและจับกลุ่มกับพวกเจ้าและเรียนหนังสือเก่งรองลงมาหน่อยนึง (พวกสอบได้ที่เลขตัวเดียวอ่ะ) หรือเกาะกลุ่มกับพวกทอมซ่า เรานับเป็นพวกอำมาต อันนี้จำไม่ค่อยได้เท่าไรว่ามีใครบ้าง ลืมๆ ไปหมดแล้ว ซึ่งสมัยนั้นอยากเป็นอำมาตแต่ไม่กล้าเลยจัดชนชั้นตัวเองเป็น พวกไพร่สามัญ คือ พวกที่พ่อแม่เป็นข้าราชการธรรมดา เรียนหนังสือก็กลางๆ ไม่เก่งไม่ห่วย ซึ่งเพื่อนที่โอ่งรู้สึกว่าเป็นไพร่เหมือนกันและสนิทกันมาตลอด คือ ฝน (นุชนาถ) (แกรจะดีใจหรือเสียใจดีอ่ะฝน) เจี๊ยบ (ปัญนิกา แสงมณี) พ่อมันชื่อไกรศรี แสงมณี จำได้เพราะสมัยก่อน ไกรศร แสงอนันต์ เค้าดังมาก
ส่วนจุ๋มจิ๋ม นี่โอ่งถือเป็นพวกเจ้า (เชื้อพระวงศ์) ที่ลดตัวลงมาคบกับพวกไพร่ เพราะจุ๋มจิ๋มเค้าบ้านรวยมาก (สมัยนั้น) มีคุณทวดเป็นคุณพระ (สมัย ร. 5) ซึ่งซื้อที่ดินบ้านที่อยู่ติดเซ็นทรัลมาแค่ 40 บาทเองนะ นอกจากนี้ยังมีคุณตาเป็นหมอฟันของในหลวงและครอบครัวอีกทั้งเป็นคนก่อตั้งคณะทันตแพทย์จุฬาฯ (หมอศรี สิริสิงห์) และที่สำคัญที่วัดฐานะว่าเป็นเจ้าหรือไพร่สมัยเด็กๆ ไม่ใช่ชื่อเสียงวงตระกูลหรอก แต่คือ การมีกระติกน้ำเก็บความเย็นได้ ซึ่งสมัยก่อน ฮิปมากๆ (โอ่งกินของมันทุกวันเลยปัจจุบันโอ่งซื้อไว้ใช้ตลอดเวลารักษาปมด้อยสมัยเด็กๆ) นอกจากนี้ ตอน ป. 6 จิ๋มสอบได้ที่ 3 แถมเก่งเปียนโนและเป็นครูสอนเปียนโนด้วย และยังเล่นระนาดเอกในงานโรงเรียน (สมัยนั้นโอ่งเล่นระนาดทุ้มเป็นลูกวง) แต่ตัวมันเองทำตัวธรรมดาและมาสนิทกับพวกไพร่ๆ อย่างเรากะฝน...อิอิ...โตมายังไปไหนไปกันตลอด เนื่องจากเกิดห่างกัน 5 วัน ฝนเลยตามมาเลี้ยงวันเกิดกะเราสองคนหลายครั้งจนโต
นอกจานี้ ยังมีชนชั้นที่เพื่อนไม่ค่อยคบ ซึ่งเราจำได้ชัดๆ แค่ 2 คน คือ โสภิตา กับ ดวงฤดี จำได้ว่าเพื่อนไม่ค่อยคบโสภิตาในสมัยยังเด็กมากๆ เพราะเค้าเป็นเพื่อนคนแรกที่มีแฟนเป็นเด็กผู้ชายจากโรงเรียนชายล้วนถ้าจำไม่ผิด คือ สวนกุหลาบ หรือจะเป็นอำนวยศิลป์ไม่แน่ใจ สมัยนั้นมีเด็กผู้ชายมารอหน้าโรงเรียนด้วยเราเคยเห็นกับตามี 3 คนซึ่งเราแอบอยู่ข้างประตูมองอยู่ด้วยเพราะเราเคยสนิทกับโสภิตาแป๊บนึง แล้วเพื่อนบางคนก็รังแกเรามากขึ้น เพราะสมัยนั้นการมีแฟนแล้วเท่ หมายถึงต้องคบกับทอมในโรงเรียน ซึ่งอยากบอกในวันนี้ว่าชั้นคิดผิดมาก ที่กลัวเพื่อนคนอื่นจนถอยจากโสภิตาเพราะถ้าชั้นไปกับโสภิตาจนตลอดรอดฝั่ง ด้วยหุ่นที่ยังสวยอยู่สมัยราชินี (น้ำหนักแค่ 45-50 กิโลกรัมปัจจุบัน 90 กิโลกรัม) ชั้นคงมีรักแท้ครั้งแรกตั้งแต่ตอนประถมไปแล้ว มาถึงวันนี้พึ่งจะสำนึกว่า การมีสามีดีเป็นลาภอันประเสริฐก็สายไปมากมายแล้วอ่ะ Equipment ที่มีก็ขึ้น Expiration Red Alert หมดแล้ว
ส่วนดวงฤดีสมัยนั้น เพื่อนๆ เรียกว่า ดวงฤดีขี้โขมย ซึ่งจริงๆ แล้วบ้านเค้ารวยมาก รวยกว่าโอ่งซัก 10 เท่าได้มั๊ง แต่ว่าดวงฤดีน่าจะมีความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมแบบ ลูกเศรษฐีฝรั่งที่ชอบ Shop Lifting เพราะมันเป็นการผจญภัยแบบหนึ่งที่เร้าใจ วันนี้เราภูมิใจในดวงฤดีมาก เพราะว่า สมัยนี้ไม่รวยจริงเค้าไม่กล้าทำกันหรอกไอ้ Shop Lifting เนี่ยถือว่าเพื่อนเราเป็น Pioneer เลยสมัยนั้น จำได้ครั้งนึงที่เพื่อนๆ จับได้ เพราะเค้าเอาปากกาดินสอของ เต็ม (บารเมศ) ไปแล้วทุกคนจับได้ (ถ้าจำไม่ผิดคนที่ไปแย่งปากกาดินสอออกมาจากกระเป๋ากระโปรงเค้าก็ไอ้เบียร์เรานี่แหล่ะ) เพราะเค้าไม่แกะชื่อบารเมศออกยังติดหลาบนดินสอกดเล่มนั้นเลย สำหรับลูกเพื่อนที่มาอ่านเอกสารของป้านะลูก สมัยก่อนปากกาดินสอเนี่ยสุดยอดไฮโซเลยนะมีแต่พวกระดับเจ้ากะอำมาตในโรงเรียนถึงจะมีใช้กัน ป้าโอ่งใช้แบบดินสอธรรมดาแล้วเหลาเอากบเครื่องแบบหมุนก็ยังแพงมากอยู่เลย และจำได้ว่าสมัยนั้น อ้อ (สุธาสินี) มีกบเครื่องแบบออโต้ (ที่ไม่ต้องหมุน) จากญี่ปุ่นด้วยน่าอิจฉามาก ป้าโอ่งสนิทกะป้าอ้อ ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาเหลาดินสอทั้งวันเลย
มาถึงวันนี้โอ่งอิจฉาดวงฤดี เพราะสมัยนั้น เต็ม เค้าเป็นหินในไข่สำหรับพวกเรา โอ่งเชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่น่าจะหลงรักเต็มกัน (แบบ Puppy Love) โอ่งก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ (สารภาพ) และหากโอ่งใจกล้าซักหน่อยเป็นโอ่งในวันนี้ โอ่งจะไม่ยอมให้ดวงฤดีขโมยดินสอกดเต็มไปหรอก โอ่งจะขโมยมันทั้งกล่องเลยอย่างน้อยก็อาจ Get His Attention ได้ และพอโตขึ้นมาอย่างน้อยเต็มก็จะจำโอ่งได้ ซึ่งถือว่าดวงฤดีฉลาดมากเลยสมัยนั้นอิจฉามาก พวกเรามัวแต่หน่อมแน้มคิดช้าเรื่องผู้ชายเลยไม่ทันทั้งดวงฤดี ไม่ทันทั้งโสภิตา และอาจเพราะเหตุนี้เราเลยไม่คบกะเค้า (อิจฉา)
กลับมาที่ ดิว ใหม่สมัยก่อนที่ดิวเป็นชนชั้นเจ้าน่ะ เพราะดิวทั้งเรียนเก่งทั้งเรียบร้อย จุ๋มจิ๋มบอกว่าคนแบบดิวน่ะเค้าไม่มีวันมาทำอะไรปัญญาอ่อนอย่างพวกเราหรอก... ดิว เป็นเหมือน Celebrity คนหนึ่งที่เรามีความรู้สึกว่าอยู่สูงและใกลเกินเอื้อมที่จะไปเป็นเพื่อนด้วย เพราะเราโอ่งเป็นชนชั้นไพร่สามัญ แต่พอกลับมาเจอกันอีกครั้ง ดิว เปลี่ยนไปอย่างมาก ดิวกลายเป็นหญิงเหล็กไปแล้ว (สมัยเด็กๆจำได้ว่าหวานกว่านี้นิดนึงและพูดน้อย) แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นผู้นำ เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสามารถรวมเพื่อนกลับมาได้มากขนาดนี้ แถมประกาศกร้าวว่าจะจัดรวมตัวกันทุกๆ 6 เดือนก็จัดทุกๆ 6 เดือนได้ดังคำพูด เรียกว่า พูดได้ทำได้
อีกอย่างที่ประทับใจสำหรับ ดิว คือ ความเป็นแม่ที่สุดยอดคนนึง โอ่งไม่รู้หรอกว่า ดิว เลี้ยงลูกสาวยังไง แต่วันก่อนที่ได้คุยกันในใจโอ่งคิดว่า เด็กคนนี้มี Charisma ดีมากๆ She is a Together Yong Girl เข้มแข็งและ Smart โอ่งต้องขอโทษเพื่อนๆ และแฟนคลับที่สลับภาษาอังกฤษตลอดเพราะภาษาไทยมันไม่มีคำบรรยายที่เหมาะอ่ะ Smart เนี่ยไม่ใช่แค่ฉลาดนะ มันบวกบุคลิกภาพหลายอย่าง โอ่งเป็น Fortune Teller ด้วยนะขอบอก เพราะชอบทางนี้ตั้งแต่เด็กๆ และดูดวงมามากกว่า 100 คนและไม่ค่อยผิด ส่วนใหญ่เวลาเลือกลูกน้องมาทำงานด้วยจะดูดวงก่อนเสมอและมี Six Sense บางอย่างที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ที่มีศักยภาพในการหยั่งรู้อนาคตบางอย่าง ดังนั้น ดิว “Take My Word for it, Raise Her “Well”, Your Daughter would have made you “Very Proud”.
พูดถึงลูกสาว ดิว แล้ว ก็คิดไปถึงลูกสาว อ้อ (กุลชาดา) สมัยเด็กๆ อ้อเป็นคนที่มี เป้าหมาย ที่ชัดเจนอย่างมาก โอ่งรู้จักอ้อตั้งแต่ ป. 1 ซึ่งอ้อสอบได้ที่ 1 ด้วยและประกาศกร้าวว่าจะเรียน โรงเรียนบดินทร์เดชา ในขณะที่เพื่อนส่วนใหญ่แห่กันไปเรียนโรงเรียนสตรีวิทยา รุ่นเราไปเยอะนะถ้าจำไม่ผิดประมาณเกือบ 40 คน ส่วน เดือน (นนทลี) บอกว่าจะเข้าสาธิตประทุมวัน และมีอีกหลายคน เช่น ศิรินทร์ อ้อ (สุธาสินี) บอกว่าจะไปโรงเรียนจิตรลัดดา (สะกดไงหว่า) ตกลงก็เลยมี อ้อ ไปบดินทร์ฯ คนเดียว นี่คือความมุ่งมั่นของเด็ก ป. 1 เจ๋งไม๊ สมัย ม. 1 โอ่งยังนั่งน้ำลายยืดเอี๊ยมเลอะอยู่เลยนะดูความแตกต่าง และแล้วลูกไม้ก็หล่นไม่ใกลต้น ลูกสาวอ้อ เป็นเด็กที่เป็นตัวของตัวเองมากคนนึง เพราะนอกจากจะตอบคำถามฉะฉานแล้ว ยังมีคำตอบที่เป็นคนถามกลับอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าอ้อต้องเลี้ยงลูกแบบใช้เหตุผลมากๆ คือ เปิดโอกาสให้เด็กถาม ไม่เหมือนคนไทยที่เลี้ยงลูกแบบว่าไม่ให้ถาม พอลูกถามว่าทำไมก็ตอบว่าแม่ให้ทำก็ทำไปเถอะน่า แต่ถ้าโอ่งมีลูกที่หล่นไกล้ต้นก็ต้องน้ำลายยืดถึง ป. 4 แล้วหลังจากนั้นค่อยคุยกันว่าจะมีอนาคตหรือไม่
พูดถึงอ้อแล้วก็ขอแทรก รักครั้งแรกของโอ่งนิดนึง โอ่งขออนุญาตไม่นับ เต็ม (บารเมศ) เป็นรักครั้งแรกเพราะว่าเต็มเป็นรักครั้งแรกของผู้หญิงในรุ่นทุกคนไปแล้ว คนแชร์เยอะไป แต่ที่เอาเรื่องแฟนคนแรกมาแทรกตรงนี้เพราะว่า คนที่เป็นแฟนกะโอ่งเป็นคนแรก เป็นเพื่อนของ อ้อ (กุลชาดา) ที่บดินทร์เดชา นั่นแหล่ะ อันนี้แม้แต่อ้อเองก็ไม่รู้ เค้าชื่อว่า โด่ง เป็นนักกีฬาวอลเล่บอลของบรดินทร์เดชา หลายคนคงไม่นึกว่ารักครั้งแรกของโอ่งจะเป็นผู้ชาย เพราะคนชอบตัดสินว่าโอ่งเป็นทอมเพราะการแต่งตัว แต่จริงๆ แล้วโอ่งเป็นคนรักพ่อมากเลยแต่งตัวตามพ่อแต่เด็กและมันก็สบายดี ทรงผมตัดสั้นเพราะมันสบายและมันก็มีสาเหตุเดี๋ยวเล่าในภายภาคหน้าต่อไป
แต่ที่น่าขำ คือ ตอนออกจากราชินีใหม่ๆ แล้วย้ายไปโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยอ่ะ เวลาผู้ชายถูกตัวขนมันจะลุกซู่ถึงหัวเลย (ไม่คุ้นกับผู้ชาย) วันหนึ่งเลยตัดสินใจวิ่งออกไปเตะฟุตบอลหน้าบ้านกับพวกเด็กผู้ชายในซอย ช่วงนั้นต้องตัดผมสั้นอยู่แล้วพอใส่หมวกก็เหมือนเด็กผู้ชาย สุดท้ายเลยคบแต่กับเพื่อนผู้ชายแถวบ้านสนิทกันมาก พอคบไปนานเข้าถึงได้รู้ซึ้งว่าการคบเพื่อนผู้ชายเนี่ยต่างกับการคบเพื่อนผู้หญิงตรงที่เค้าจะดูแลเราดีมาก เวลาไปแข่งโอ่งจะเป็นโกล์และโด่งเค้าเป็น Back คือ คนที่อยู่ติดกะโกล์นั่นแหล่ะ เวลาที่เพื่อนๆ บุกไปอีกข้างเราก็จะยืนคุยกัน เวลามีผู้ชายซอยอื่นมาแข่งแล้วแกล้งชนโอ่ง โด่งจะผลักคนนั้นออกก่อนแบบแรงมากๆ ตั้งใจปกป้องเรา และเราก็ขอบตีแบดกันดึกๆ เราคุยกันสองคนถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งอย่างถูกคอ
โด่งเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้โอ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงอ่อนแอ ถึงแม้ว่าทุกคนก็ล้อเราสองคนตลอดซึ่งโอ่งก็เขินนะแต่หาได้แคร์ไม่เพราะเราก็มีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ตอนประมาณมัธยมปลายโอ่งก็ย้ายบ้าน (จากเมืองทองหนึ่งไปเมืองทองธานี) แล้วเราก็เริ่มห่างจากกันเค้าน่าจะเริ่มรู้ตัวและแน่ใจว่าเค้าชอบผู้ชายด้วยกันด้วยมั๊ง เราเลยเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวในชีวิตเค้าไป (เศร้าเนอะ) ทั้งนี้เวลาเจอกันเค้าเคยขี่จักรยานข้ามหมู่บ้านมาหาครั้งนึง เค้าก็ยังแอ๊บแมนอยู่นะ คงไม่อยากให้เราเสียใจมั๊ง แต่ว่าสำหรับโอ่งความรักครั้งนี้ คือ รักครั้งแรกและครั้งเดียวที่มีความรู้สึกว่า เรารักกัน เพราะแม้ว่าจะไม่มีความรู้สึกด้านเพศตรงข้ามแต่โอ่งก็รู้ว่าเค้าก็รักโอ่งเหมือนกัน จะรักแบบไหนไม่สำคัญแต่เราสองคนต่างก็เป็นคนสำคัญของกันและกัน แต่หลังจากนั้นในชีวิตโอ่งมันก็แทบไม่มีคำว่า เรารักกันอีกเลย....
นอกจากดิวแล้วไปพบเพื่อนครั้งแรกโอ่งยังประทับใจ "ก้อย" กับ "ตู๋" (เนาวรัตน์) ด้วยเพราะว่าทั้งสองกลายเป็นเจ้าของกิจการที่โด่งดังไปแล้ว แต่บอกตามตรงตอนเพื่อนๆ บอกว่าก้อยเป็นเจ้าของ "เพลินวาน" น่ะ โอ่งไม่รู้จักหรอกว่า เพลินวาน คืออะไร เพราะไม่ได้เที่ยวเลย แต่พอไปเล่าให้เพื่อนคนอื่นฟังว่าเพื่อนเราเป็นเจ้าของ เพลินวาน โอ้โห คนกรี๊ดกันแทบหูแตก และก็กรี๊ดร้านของตู๋ด้วย (จำชื่อไม่ได้ซักที) แต่เวลาเล่า คนอื่นเค้าจำกันได้หมด เราเลยพลอยได้หน้าไปด้วย แต่อย่างว่าเราทำงานหนักมากสุดท้ายเลยยังไม่เคยไปทั้งสองที่น่ะแหล่ะ
แต่ถ้าในเรื่องความรักโอ่งประทับใจ โอมากเลย โอเป็นคนเรียบร้อยมาก (ต่างจากไอ้เบียร์) ไม่น่าเชื่อว่าจะตัดสินใจมีแฟนหญิงจนถึงปัจจุบัน ปีที่แล้วตอนไปเลี้ยงรุ่นที่ร้านของโอ ข่าว (จากก้อย) ว่าโดนหญิงหลอกด้วยแต่ปัจจุบันโอมีแฟนใหม่สบายแฮไปแล้วดูแล้วมีความสุขมากนะตอนนี้ แต่สำหรับโอ่งอยากบอกโอว่าชีวิตคนเราน่ะแค่ได้มีโอกาสที่จะรักใครซักคน ทุ่มให้เค้าจนหมดหัวใจ (หมดตัว) มันก็มีความสุข ณ.ขณะนั้นๆ ใช่หรือไม่ แม้ว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นแค่ความทรงจำ และความเข้มแข็งให้เรามีกับรักครั้งใหม่ มันก็มีค่ามากใช่หรือไม่ ดังนั้น เพื่อเพื่อนโอตรงนี้ก็จะขอแชร์ความรักครั้งที่ 2 ในชีวิตที่โอ่งเคยรักมากและเจ็บมากแต่ก็ภูมิใจมากเพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อน และภูมิใจในตัวเพื่อนมากด้วย
หลังจากโด่งจากไป ตอนขึ้น ม. 4 ก็ย้ายบ้านไปอยู่เมืองทองธานี และก็ยังมีรสนิยมเดิม คือ ชอบคบเพื่อนผู้ชายมากกว่าเพื่อนผู้หญิง กลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่สนิทมีตอนมัธยมต้นแต่ไม่ค่อยมีช่วงมัธยมปลายเท่าไร อันนี้ก็จะเป็นเหมือนหนังเรื่อง เพื่อนสนิท ยังไงอย่างงั้นเลย ตอน ม. 4 โอ่งมีเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันเป็นผู้ชาย 3 และโอ่งเป็นผู้หญิงคนเดียว เราเล่นกีฬาด้วยกัน คือ ปิงปอง และเป็นนักกีฬาตัวแทนโรงเรียนไปแข่งที่กรมพละศึกษาด้วย ตอนนั้น โอ่งมีใจให้ผู้ชายพร้อมกัน 2 คน ที่แยกไม่ออกว่าอันไหน คือ ชอบ และอันไหน คือ รักเพราะหนึ่ง คือ เพื่อนสนิท และอีกหนึ่ง คือ ชายในฝัน ที่เรารู้สึกชื่นชม เผื่อว่าเค้าต่างมีเมียไปแล้วเพื่อไม่ให้สร้างความร้าวฉาน สมมุติให้เพื่อนสนิท ชื่อ ส. และชายในฝันชื่อ ศ. ก็แล้วกัน เนื่องจากการซ้อมปิงปองมีทั้งก่อนเรียนและหลังเลิกเรียน เราจึงอยู่กับคนที่ชื่อ ส. ทุกวัน ทั้งวันตลอดเช้ายันเย็นเพื่อเล่นปิงปอง และคนชื่อ ศ. ก็เข้ามาเล่นด้วยเป็นบางวัน
เรากรี๊ดคนชื่อ ศ. เพราะเค้าเป็นผู้ชายเรียบร้อยพูดน้อย (อยู่ 4/7) ซึ่งแม้แต่เพื่อนๆ เค้าเองยังไม่รู้จักกันหมดทั้งห้องเลยว่ามีคนนี้เรียนอยู่ในห้องเดียวกัน เวลาเดินมาขอเล่นด้วยเค้าก็ไม่พูดแค่เดินมาสบตานิดนึงก็เล่นด้วยกันเลย แต่วันหนึ่งหลังจากเล่นปิงปองด้วยกันมาครึ่งปีตอนเทอร์ม 2 เค้าเข้ามาทักหลังจากเราซื้อไม้ปิงปองใหม่ (แพงมาก) เราจึงได้ยินเสียงเค้าเป็นครั้งแรกและหลังจากนั้นเค้าก็คุยแต่กะเราเพียงคนเดียวตลอดเวลา เราก็ภูมิใจมากเพราะเค้าไม่คุยกะใคร เค้าเป็นคนที่มีตาที่หวานมากเลย สบตาเฉยๆ ก็เขินแล้ว เวลาเค้าคุยกะเราใจมันเต้นอย่างกับจะหลุดออกมาข้างนอก ส. ที่เป็นเพื่อนสนิทเราก็รู้ดีเค้าก็คอยเชียร์อยู่ทุกวัน และเรามีอะไรที่รู้สึกเกี่ยวกับ ศ. เราก็จะคุยกับ ส. ทุกวัน เราจะกรี๊ดให้ ส. ฟังว่าเราคุยอะไรบ้างวันนี้กับ ศ. หลังจากกลับถึงบ้านและคุยกันกับ ส. ทุกวันจนหลับไป
สำหรับ ส. เป็นผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยกับผู้หญิงเท่าไร แรกๆ เค้าสนิทกับเราคนเดียวที่เป็นผู้หญิง เราก็ไม่รู้หรอกว่าในความเป็นเพื่อนในความผูกพันนั้นมันเป็นความรักหรือไม่ เรายังเด็กเกินไปไม่รู้จักตัวเองเท่าไร จนมาวันหนึ่งเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของเราเกิดเดือดร้อนไปรักผู้ชายที่เค้ามีแฟนแล้ว แต่ผู้ชายคนนั้นก็เล่นด้วย คือ มาเอาเพื่อนเราเป็นตัวสำรอง เพื่อนมาปรึกษาว่าทำอย่างไรจึงจะเลิกกับผู้ชายคนนั้นได้ อยากให้เราช่วย อยากให้เราหาใครซักคนที่ดูดีช่วยแกล้งเป็นแฟนหน่อย แน่นอนเราก็ต้องแนะนำเพื่อนสนิทของเรา คือ ส. นั่นเอง และ ส. ก็ยอมช่วยเพราะเห็นแก่เรา ส. ขี่มอร์เตอไซด์ เท่ห์มากเลย และเมื่อก่อนก็จะมีเราซ้อนคนเดียว ตอนนี้เพื่อนเราก็ซ้อนแทน ตอนนี้เองที่เรารู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูกอ่ะ แค่ในใจมันบอกว่าไม่ใช่แล้ว มันไม่มีความสุขแล้ว และสุดท้าย ส. ก็หลงรักเพื่อนเรา และเป็นแฟนกันจริงๆ เค้าสองคนไม่สงสัยเราว่าเรามีความรู้สึกกับ ส. เพราะเค้าต่างคิดว่าเรารัก ศ. และเราเป็นคนที่ทำให้เค้ารู้จักกัน
ต่อมาผู้ชายที่มีแฟนคนนั้นเค้ากลับมาง้อเพื่อนเราและเธอก็ทิ้ง ส. ไปเลย ตอนนั้น ส. แทบคลั่งตาย เค้ามานั่งร้องให้กะเราทุกวัน เราต้องคอยปลอบและขอโทษที่ทำให้เค้าเสียใจเพราะเราเป็นคนแนะนำเพื่อนให้เค้า ตอนนั้นเองที่เรารู้สึกในใจว่ามันเจ็บยิ่งกว่าความรู้สึกเจ็บใดๆ ทั้งหมด เรารู้แล้วว่าสำหรับเรา ส. ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิท เค้าเป็นมากกว่านั้น เค้าเป็นคนที่เรารู้สึกว่า ความหวั่นไหวที่มีมันมากกว่าความเขินที่สองคนสบตากัน ความรักและความผูกพันที่มีมันเอ่อล้นออกมามากกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำบรรยาย เวลาที่เรารักใครสักคนบางทีมันก็เข้ามาในใจไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่เมื่อมันเข้ามาแล้วก็ยากที่จะไหลออกไปได้ คนหนึ่ง คือ ชายในฝัน ที่เป็นทุกอย่างที่เราหวังไว้และตั้งเสป็กไว้ อีกคน คือ ชายที่เรารักและเพื่อนสนิทที่สุด ที่สายเกินไปที่จะทำให้เค้ารู้สึกกับเรามากกว่าเพื่อน เพราะเค้าหลงรักเพื่อนของเราไปแล้ว
สำหรับ โอ เมื่อเธอคนนั้นจากไปโอก็เจ็บและต้องใช้เวลาทำใจใช่ไม๊ แต่สำหรับโอ่งแล้ว โอ่งต้องนั่งซับน้ำตาคนที่เรารักพูดอะไรก็ไม่ได้มากไปกว่าคำปลอบโยนแต่หนีไปไหนไม่ได้ต้องนั่งอยู่ตรงนั้นแหล่ะ ความสุขที่คุยกันทุกวันจนหลับไปในอดีตเปลี่ยนเป็นคราบน้ำตาบนหมอนที่ต้องฟังคนที่เรารักระบายว่ารักคนอื่นมากมายแค่ไหน โดยที่เราก็ไม่สามารถระบายกับใครต่อได้ และไม่มีใครสักคนจะเข้าใจเพราะเราก็กลัวว่าหากใครรู้เข้าเราจะเสียเพื่อนไป อยู่แบบนี้เป็นปี
สุดท้ายสิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ คือ หนี โอ่งมุ่งมั่นเรียนหนังสือและเอ็นทรานซ์หนีไปอยู่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่จบ ม. 5 ด้วยเหตุนี้เอง จุ๋มจิ๋มคงจะงงว่าทำไมถึงไม่เลือกเกษตรเพราะทั้งใกล้บ้านและใกล้เพื่อน ซึ่งคำตอบก็คือ เพราะมันทั้งใกล้บ้านและใกล้เพื่อนนี่แหล่ะ โอ่งจึงไม่เลือกเพราะอยากมีชีวิตใหม่ นอกจากสมัยประถมโดนรังแกแล้ว สมัย ม. ปลาย ก็ยังอกหักอย่างรุณแรงแบบไม่รู้ตัวด้วย
ตอนปัจฉิมนิเทศที่โรงเรียนสามเสน โอ่งกลับมาและบอกรัก (บอกชัดเจนว่าเคยรักแต่ตัดใจได้แล้ว) พร้อมกันทั้งสองคนพร้อมกับการบอกลา (Give It A Shot) สำหรับ ศ. เป็นการบอกรักพร้อมรอยยิ้มเพราะเค้าก็บอกว่าขอบคุณ เค้าอ่อนโยนมากเลยนะไม่เคยเสียใจที่รู้สึกดีๆ กับผู้ชายคนนี้แม้แต่น้อย ส่วน ส. เค้าเขินหน้าแดงไป 10 นาทีเพราะคิดไม่ถึง และเค้าก็บอกว่าเค้ากลับไปคบกับเพื่อนสนิทเราอีกครั้ง เราก็อวยพรขอให้คราวนี้เค้าไปกันได้ดี และเราก็ไม่คิดจะเป็นเพื่อนสนิทกะเค้าอีกต่อไป เพราะว่าเราคงทำใจไม่ได้แน่ๆ แม้แต่วันนี้ความรักจากไปแล้วแต่ความเจ็บมันยังเป็นแผลลึกๆ บอกไม่ถูกว่าทำไม
ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้วก็ขอเอา ความรักที่เจ็บที่สุดและไม่เคยตัดใจได้ มาเป็นอันสุดท้ายล๊ะกัน แชร์ไว้เพื่อให้เพื่อนๆ ได้เป็นอุทาหรว่า ชีวิตใครที่ว่าแย่อาจมีคนที่แย่กว่า ผู้ชายคนนั้นชื่อ อาร์ต (Art) จบ ม. ปลาย จากสวนกุหลาบรุ่นเดียวกับ ป๊อด (ธนชัย อุชชิน) แล้วก็มาเรียน มช. รุ่นเดียวกัน
อาร์ต เค้าแอบรักโอ่งตอน ปี 1 จากคำบอกเล่าของเพื่อนคนนึงว่าเค้ามาแอบด้อมๆ มองๆ ที่หอหญิงเพื่อดูว่าโอ่งจะเดินออกมาไม๊ สมัย มช. หอหญิงจะปิดตอน 3 ทุ่ม ในขณะที่หอชายจะไม่ปิด แต่ดึกๆ มันจะหิวและออกไปหาซื้อของไม่ได้ ดังนั้น เลยต้องออกมาหาเพื่อนที่ขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านไปผ่านมา สิ่งที่น่าแปลก คือ มันเป็นคนผ่านมาประจำ และซื้อของให้กินดึกๆ เป็นประจำ อาร์ตหนักซัก 100 กว่ากิโลกรัมได้ตัวอ้วนใหญ่มากคบอยู่แต่กับเพื่อนผู้หญิงและก็ชอบแอบรักเพื่อนในกลุ่มนี่แหล่ะ เค้าน่าจะรักเราซัก 2 สัปดาห์ได้ แต่เค้าทำเราเจ็บนานเป็นสิบปีเลย
โอ่งเป็นนักกิจกรรมและเป็นศูนย์รวมของเพื่อน ใครไม่รู้จะนึกว่าเป็นคนเข้มแข็งแต่โอ่งจะเป็นคนที่ขี้แย แถมด้วยความขี้งอนระดับต้นๆ ของกลุ่มเพื่อนเลย เพื่อนที่สนิทมากๆจะรู้ดีว่าเป็นหญิงสุดๆ ขี้น้อยใจสุดๆ แต่บุคลิคภายนอกไม่ค่อยเห็นชัดแบบนั้นดูแล้วยังไงก็ได้เข้มแข็งมาก แต่เวลางอนจะใช้วิธี หนีหาย มากกว่าจะแสดงอารมณ์ออกมา บางทีหายไปเป็นเดือนโดยเพื่อนไม่รู้ว่าที่หายนั้นเพราะงอน นึกว่าไม่ว่าง แต่อาร์ตกลายเป็นคนเดียวที่อ่านออกและจับได้ มีครั้งนึงที่เกิดเรื่องตอนจัด TRIP ไปขุนตาล เพราะตกรถไฟ เพื่อนทะเลาะกันใหญ่ เราเป็นคนจัดเลยต้องแก้ไข จัดรถสองแถวไปแทนและพอจัดได้เรียบร้อย สิ่งที่ถนัด คือ เดินหนี พร้อมรอยยิ้ม เพื่อนผู้หญิงที่สนิทด้วยทั้งหมดทุกคนก็ยังดูไม่ออกว่านั่นคือจะเดินหนีไปร้องให้แล้ว เพราะตอนที่เราต้องเป็นผู้นำและมีสติต้องกดดันทุกสิ่งไว้ แต่พอทุกอย่างเรียบร้อย ความเป็นผู้หญิงก็จะไหลพร่างพรูเป็นน้ำตา เพื่อนๆ ต่างก็ไม่มาปลอบเพราะไม่รู้ เห็นยังหัวเราะและพยายามทำให้เพื่อนทุกคนร่าเริงกับการไปเที่ยวไม่ทะเลาะกัน ทุกคนก็นึกว่าอารมณ์ดีตลอดจริงๆ แต่เรากดทุกอย่างไว้ข้างใต้ต่างหาก
นาทีนั้นเองอาร์ตเดินตามมาโดยที่เราไม่รู้ พอห่างจากกลุ่มเพื่อนและไม่มีใครเค้าดึงเราเข้าไปกอดเลย แล้วพูดสั้นๆ ว่า กูนึกแล้ว เอ้าร้องออกมาให้หมด อาร์ตอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าจำไม่ผิดเค้าจูบลงที่หน้าผากเราด้วยนะ ตอนนั้นเอง (1992) ที่หัวใจทั้งหมดของเราเทไปให้กับ ผู้ชายคนนี้ เค้าไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนหล่อ ไม่มีอะไรที่ถูกสเปค ไม่ใช่ผู้นำ แต่เค้าเป็นคนเดียวที่รู้จักเราดีและเค้าก็เป็นคนซับน้ำตาเราแบบนี้มาตลอด
โอ่งเป็นเด็กเรียนและยุ่งอยู่ตลอดเวลาพอเรียนจบเราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด โอ่งบอกรักเค้าตลอดเวลาเค้าไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธแต่อยู่ด้วยกันตลอด และพูดแต่ว่าชอบผู้หญิงผมยาว โอ่งเริ่มไว้ผมยาวตอนปีสอง ยาวจนถึงหลังตอนปี 4 และตอนรับปริญญาเราก็ถ่ายรูปด้วยกัน ถ้าเพื่อนๆ เข้า FB จะเห็นตอนไว้ผมยาวมากๆ ตอนนั้นเราก็ควงกันตลอด แต่ปัญหาของโอ่ง คือ โอ่งเป็นคนซีเรียสกับชีวิตตอนนั้นเรียนหนักเตรียมไปเมืองนอก (1994) อาร์ตว่างมากพบกับพวกเพื่อนตลอด หลายคนนึกภาพไม่ออกว่าคนมีสมองและใช้สมองเยอะๆ อย่างโอ่งเวลาเป็นแฟนแล้วจะ Bitchy มากๆ เพราะเวลาที่โอ่งมีให้อาร์ตจะเป็นช่วง เสาร์-อาทิตย์ จำได้ว่าไปเดอะมอลล์บางแคร์กัน (ดูหนัง-กินข้าว) อาร์ตบอกว่าดูอะไรก็ได้แต่ไม่เอา True Lies เพราะดูมา 3 รอบแล้วกับเพื่อนๆ โอ่งก็งอนและบอกว่าทำไมเลือกดูกะเพื่อนได้แต่ดูกะโอ่งไม่ได้ และโอ่งก็อยากดูเรื่องนี้ อาร์ตไม่ยอมรอแล้วยังไม่ยอมดูกะโอ่งอีกเค้าก็เลยดูรอบที่ 4 กะโอ่ง และพอกินข้าวเค้าก็บอกว่าไม่กิน Narai Pizzeria นะกินมา 5 วันแล้ว โอ่งก็น้ำตาคลอเค้าก็เลยต้องกินเป็นวันที่ 6 กะเราใน 1 สัปดาห์ จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจแกล้งนะโอ่งรู้ว่าเค้าพูดแบบนั้นเพราะเค้าต้องรู้ว่าโอ่งจะเลือก เพราะโอ่งอยากกินแน่ๆ เค้าเลยดักคอ เราก็งอนตรงเค้ารู้ก็ยังดักคอนี่แหล่ะ อยู่กับผู้ชายคนนี้ โอ่งแทบไม่ต้องพูดว่า อยากทำอะไร อยากกินอะไร เค้ารู้หมดเลย รู้ตลอดเวลา
โอ่งบินไปอเมริกาเพื่อไปเรียนต่อก่อน 1 ปี คือ ปี 1995 และเราก็โทรหากันตลอด (ส่วนใหญ่โอ่งเป็นคนโทรนะเพราะว่าถูกกว่า) โอ่งเขียนจดหมายหาทุกวัน (สรรหากระดาษและซองน่ารักตลอด) อาร์ตส่งมาอาทิตย์ละฉบับเอง (กระดาษสมุดธรรมดา แต่ชอบพับเป็นรูปแปลกๆ) แต่โอ่งก็อ่านซ้ำไปซ้ำมาโดยเฉพาะฉบับที่ลงท้ายว่า รัก ยังเก็บไว้ถึงทุกวันนี้ เพราะเค้าเป็นคนที่ไม่พูดเหมือนเพลงเปรี้ยวใจอ่ะปากก็ มึงกูตลอด อย่างงั้นแหล่ะ และสิ่งที่เจ็บที่สุด คือ ตอนปีใหม่ 1996 โอ่งไป Count Down ที่ Disney World (Florida) ก็อยากสวัสดีปีใหม่อาร์ตเป็นคนแรกเลยเขียนโปสการ์ดว่า ปีใหม่ปีหน้าเราไป Count Down ด้วยกันที่ Time Square (New York) นะค๊ะ รักอาร์ตที่สุด แล้วตอนที่นับเสร็จคู่รักทุกคู่จูบกันตรงนั้นเหมือนว่ามีเพียงเราสองคนแม้คนจะยืนกันเป็นหมื่นมันเป็นภาพที่ประทับใจมาก โอ่งหย่อนการ์ดใบนั้นลงในตู้ไปรษนีย์หลังจากนับเสร็จ เพราะเค้า คือ คนที่เราอยากบอกรักตอนปีใหม่เป็นคนแรก
อาร์ตตามมาที่อเมริกาปี 1996 นี่เองไม่กี่เดือนหลังจากรับโปสการ์ด เราก็โทรคุยกันทุกวันอยู่พักใหญ่ๆ จนวันนึงอาร์ตบอกว่า อยากเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่อยากเป็นแฟนกันแล้วประโยคของเค้า คือ ในความเป็นเพื่อนอาร์ตจะอยู่กับโอ่งรักโอ่งแบบนี้ได้ตลอดไป เค้าบอกว่า ชีวิตเรามัน Complicate เกินไปสำหรับเค้า เค้าเป็นแค่คนธรรมดา (ทุกข์เกินไปพ่อหวังในตัวเราสูงเกินไป) ณ.ขณะนั้นเราก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันจะหมายความว่าอะไร และไม่ต้อง Imagine ว่าปี 1996 ที่ย้ายเมืองจาก Washington D.C. ไปอยู่ Cleveland นั้นแรกๆ จะนรกขนาดไหน แต่ก็โชคดีที่มีเพื่อน และเราก็ร้องให้อยู่นานและพยายามตัดใจเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ และก็ตัดสินใจตัดผมหลังจากไว้มานานหลายปี (What For???)
พอไป Cleveland เราก็ไปพบกับรุ่นพี่คนไทยคนนึง น่ารักมาก หน้าตาประมาณผู้ช่วยพระเอกหนังจีน พี่เค้ามีน้ำใจกับเรามากช่วยเหลือทุกอย่าง เราก็คิดในใจว่า จีบพี่คนนี้แหล่ะ เพื่อจะได้ลืมความรักครั้งเก่า ซึ่งวิธีการของเราแตกต่างจากหญิงทั่วไป หลังจากเรียน มช. แล้วโอ่งแปลงร่างเป็นพวกหัวโจกและซ่ามาก โอ่งบอกรักสะท้านฟ้าต่อหน้าผู้คนบนเวทีสมาคมนักเรียนไทยเลย พวกนักเรียนไทยกรี๊ดกันสุดๆ และเชียร์กันใหญ่ โอ่งพยายามอ่อยสุดๆ ถึงขั้นไปสวดมนต์ห้องเค้าแล้วก็ทำเป็นหลับไปเลย พี่เค้าน่ารักมาก เค้าไม่ปลุกด้วย เค้าก็อ่านหนังสือไปรอเราตื่น ส่วนใหญ่กับพี่คนนี้เน้นคุยธรรมะกัน เค้าเป็นคนดี ธรรมะ ธรรมโม มากเชียวหล่ะแต่เค้าบอกเราว่า อยากเป็นแค่พี่ชาย เราก็เลยต้อง Slowdown
ปีใหม่ 1997 เราไปเกิดอุบัติเหตุรถชนที่แคนนาดาก่อนปีใหม่แป๊บนึง เลยต้องมานั่งเฝ้าบ้านตอนปีใหม่ซึ่งอาร์ตกลายเป็นสายโทรศัพท์แรกของปีใจเราสั่นหวั่นไหวมากที่เค้าโทรมาหลังจากห่างหายไปนาน แล้วเราก็ได้ยินเสียงตะโกนว่าปีใหม่โทรหาใครว๊ะ เค้าตะโกนตอบเพื่อนเค้าว่า พูดมากกูจะคุยกะแฟน.... และมันก็จุดประกายความหวังของเราขึ้นมาอีกครั้ง....ทำไมอาร์ตต้องโทรวันนี้ ทำไมต้องเป็นปีใหม่ด้วย อาร์ตก็รู้ว่าถ้าโทรวันนี้ทุกอย่างมันจะไม่จบง่ายๆ แต่พอเราเริ่มจะคุยเพิ่มขึ้นเค้าก็บอกเราว่า เราเข้าใจผิด เค้าโทรมาฐานะเพื่อนเฉยๆ (เจ็บอีก) เราก็เลยต้องสลายตัวหลบหายไป
แม้ว่าพี่คนนั้นเค้าจะบอกว่าอยากเป็นแค่พี่ชาย ระหว่างนั้นเราก็บุกไม่เลิก หยิกแกมหยอกไปเรื่อยๆ เพราะเรารู้สึกอยากมีความรักครั้งใหม่ด้วย และแก้เหงาด้วย อีกทั้งพี่เค้าก็น่ารักด้วย ถูก Spec ทุกอย่างจนทุกอย่างทำท่าจะดี และเราอาจทำให้เค้าหวั่นไหวได้บ้างแล้ว เพราะสุดท้ายเค้าชวนเราออกเดทวันปีใหม่ของปี 1998 กันสองคน และเราก็ไปเล่นพูล ดื่มแชมเปญ (แบบคล้องแขนด้วยนะ) หลังจาก Count Down ซึ่งเค้าก็สนุกมากและเราก็สนุกมาก พอกลับถึงห้องก็มี Message ใน Answering Machines เวลา 0.01 ว่า....อาร์ตนะครับ แฮปปี้นิวเยียร์นะครับ มีความสุขมากๆ นะ คิดถึงนะครับ.... พระเจ้าทำไมต้องวันนี้ด้วย ทำม๊ายยยยยยยยย เราทรุดตัวลงนั่งร้องให้และรู้ซึ้งแก่ใจว่า ต่อให้นานซักแค่ไหน ชั้นก็รักแต่ผู้ชายคนนี้เท่านั้น....เราเริ่มถอยห่างจากพี่คนนั้นเพราะเรารู้แก่ใจแล้วว่ามันไม่แฟร์กะพี่เค้าแม้แต่น้อย... และสิ่งที่เราทำ คือ สิ่งที่เราถนัด หนี เราย้ายเมืองไปอยู่ Philadelphia ทั้งๆ ที่พ่อก็หางานให้ได้ที่ Cleveland ด้วยแต่เราปฏิเสธ เลือกไปทำงานที่เมืองอื่นแทน เพื่อนๆ พี่คนนั้นบอกว่า เค้างงทีเดียวว่าวันก่อนที่ไปเที่ยวกันพี่เค้ากลับไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่าสนุกมาก แต่แล้วเรากลับหลบหน้าเค้าแล้วหายตัวไปในที่สุด
ทำงานที่ King of Prussia เรามีความสุขระดับหนึ่งเพราะจุ๋มจิ๋มกะปุ๊ (แฟนจุ๋มจิ๋ม) ย้ายจากเบอร์มิงแฮมมาอยู่ด้วยกันที่นี่ เรากลับไปคุยกับอาร์ตอีกครั้งแต่ทำเป็นว่าเป็นแค่เพื่อน (Pretend) และก็พยายามห่างหายไปบ้างแต่เค้าก็คุยดีเหมือนจะมีความหวังอีกครั้งเลยกลับมาไว้ผมยาว ดังนั้น รูปที่ถ่ายกะจุ๋มจิ๋มที่นิวยอร์กจะเห็นว่าผมยาวถึงหลังเลย แต่ว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่งานหนักมากเลยอีกทั้งไม่มีใครอื่นเข้ามาในชีวิตอีก จนในที่สุดทำงานไปได้ซักเกือบ 2 ปี จุ๋มจิ๋มก็กลับประเทศไทยไปก่อนพร้อมกับเราก็ได้งานใหม่ที่สิงคโปร์ (ใกล้บ้านกว่าเดิม) เราจึงตัดสินใจย้ายไปทำงานที่สิงคโปร์แทน แต่อยู่อเมริกาต่อเพื่อช่วยน้องชายหาที่เรียนต่ออีก 1 เดือนหลังจากลาออกจากงาน โดยย้ายกลับไปอยู่กับเพื่อนสนิทและน้องชายที่ Cleveland
ระหว่างนั้นก็ตัดสินใจส่งเพลงประกอบหนังเรื่อง Notting Hill ไปให้อาร์ต พร้อมเขียนบนหน้าปกว่า “I am Just a Girl standing in front of a Boy Asking Him to Love Her” พร้อมบอกว่าจะไปเยี่ยมหาซักครั้ง ตั้งใจว่าจะบอกรักเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหากยังเป็นไปไม่ได้ก็จะไม่คาราคาซังอีกตั้งใจจะตัดใจแล้วหนีกลับเมืองไทยไปเลยโดยตั้งใจว่าจะไม่ยื้ออีกต่อไปต้องการมีชีวิตใหม่มีรักใหม่อีกครั้ง
พอบินไปถึง อาร์ต ก็มารับที่สนามบิน เช่ารถและโรงแรมเรียบร้อย อาร์ตพาไปนอนที่บ้านก่อน 1 คืน ทำกับข้าวให้กินตอนเที่ยง (ของโปรดด้วย) และพาไปดินเนอร์พร้อมดูหนัง จำได้ว่าเป็นเรื่อง Never Been Kissed ซึ่งเป็นหนังที่โอ่งชอบที่สุด เพราะ Drew Barry Moure เป็นดาราในดวงใจ ซึ่งเค้าก็รู้ว่าเราต้องชอบ พาไปกิน Stake ก็รู้อีกว่าเราต้องชอบ เฮ้อ มันรู้อีก และแล้วความสุขก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมคำปฏิเสธที่ชัดเจนว่าเราเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น
ถึงกำหนดกลับ เค้ามาส่งเราที่สนามบิน ตอนเค้ากอดลาเราที่สนามบิน โอ่งก็บอกกับอาร์ตว่าหากอาร์ตมั่นใจว่าเป็นอย่างอื่นมากกว่าเพื่อนไม่ได้ อาร์ตก็ต้องไม่ติดต่อกับโอ่งอีก อาร์ตต้องปล่อยโอ่งไปจริงๆ ไม่ว่ายังไงโอ่งก็ทำใจไม่ได้ เรากอดเค้าแน่นมากตั้งใจว่าจะให้เป็นครั้งสุดท้าย ความซวยโรคซ้ำกรรมซัด คือ เครื่องบินยกเลิกต้องกลับไปนอนห้องมันอีกคืน คืนนั้นเราอยู่กันคนละห้องเค้าออกไปนอนห้องรับแขกให้โอ่งนอนในห้องนอนและตอนเช้าก็ไปส่งอีกครั้งตอน 6 โมงและไม่มีคำลาแล้วมีแต่น้ำตา และโอ่งก็จากไปกลับไปที่ Cleveland
พอกลับไปถึง Cleveland สิ่งที่ตั้งใจ คือ ปล่อยมันออกมาให้หมดจะไม่เก็บอะไรไว้อีก และเราก็ปล่อยมันออกมาจริงๆ พอนึกอยากร้องตอนไหนไม่กลั้นเลย ร้องออกมาเรื่อยๆ กลัวเพื่อนเป็นห่วงหนีไปร้องในตู้เสื้อผ้า น้องชายมาบอกว่าจะขับรถไปดูมหาวิทยาลัยที่ Washington D.C. อยากให้เราไปเป็นเพื่อนเราบอกว่าได้ไม่มีปัญหา และระหว่างทาง 8 ชั่วโมงที่ขับรถไป เราก็มีร้องให้ตลอดเป็นช่วงๆ หยุดเฉพาะตอนกินข้าว น้องชายเรากังวลมากโทรหาเพื่อนที่ Cleveland บอกว่าไม่เคยเห็นพี่โอ่งเป็นมากขนาดนี้เลย และโชคดีที่เจอ Carol ที่ D.C. ซึ่งเป็นเพื่อนฝรั่งที่เรารักและคุยได้ทุกเรื่อง เค้าจะมีแนวคิดแบบฝรั่งดีๆ ให้เราเสมอๆ และเราก็ร้องอีกยกใหญ่ ขากลับร้องต่ออีก 8 ชั่วโมง แล้วเมื่อถึง Cleveland อาร์ตก็โทรกลับมา... บอกว่าเพื่อนโทรไปบอกว่าถ้าปล่อยให้โอ่งเป็นแบบนี้ต้องแย่แน่ๆ ในใจโอ่งบอกกับเค้าว่าได้โปรดเถอะปล่อยโอ่งไปเถอะ ไม่มีประโยชน์ที่จะปลอบอีกต่อไป น้ำตาสำหรับคนๆ นึงมันต้องมีขีดจำกัด และมันต้องหมดไปแน่ๆ ซักวันนึง....แต่มันก็พูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้....ได้แต่นั่งฟังเค้าปลอบแบบเจ็บๆ ไปเรื่อยๆ และพอกลับเมืองไทยก็ตัดสินใจตัดผมอีกครั้งและตั้งใจว่าจะไว้ผมสั้นสบายๆ ไม่ไว้ผมยาวเพื่อใครอีกต่อไป....
การห่างกันจากปี 1999 – 2000 เหมือนจะทำให้เราตัดใจได้ ปี 2000 โอ่งกลับมาเมืองไทยและไปเป็นนักวิจัยที่ ม. เกษตร แป๊บนึงประมาณ 6-7 เดือน ตอนนั้นเวลา Karaoke แล้วเจอเพลง เปรี้ยวใจ หรือ เรือใบบนสายรุ้ง ก็จะร้องเพลงไปร้องให้ไปได้ตลอด....แต่ก็มีความสุขเพราะมันเป็นเหมือนภาพความหลังเท่านั้น เพื่อนๆ ที่ ม. เกษตร น่ารักมากทุกคนปลอบใจให้กำลังใจ ความสนุกความสุขช่วงนั้นทำให้เราลืมไปเลยว่าเคยมีใคร และพอดีน้องที่สนิทกันก็อกหักอย่างแรงกลับจากอังกฤษมาเหมือนกันเลยรู้สึกว่ามีเพื่อนที่รู้ใจเข้าใจ
พอเราทำท่าจะตัดใจได้จริงๆ แล้วปี 2000 เค้าก็กลับมาเมืองไทย จากคนที่กำลังมีความสุขและเหมือนจมดิ่งกลับไปจุดเดิม มันตื่นเต้น มันร้อนรุ่มไปหมด ไปรับที่สนามบิน เรามองเค้าข้างหน้าแต่เค้าดันเดินมาข้างหลัง ด้วยความลืมตัวเราก็หันไปกอดเค้าเหมือนเดิม เค้ายังร่าเริงด้วยความมั่นใจว่าเราตัดใจได้ หลังจากคุยกับเราซักพักเค้าก็ไปหาพ่อกับแม่เค้าแล้วก็เตรียมตัวกลับบ้าน เราขับรถออกจากสนามบินดอนเมืองได้ยังไม่ถึง Toll Way เลยเราก็จอดรถร้องให้กับน้องคนนึงตรงนั้นอีกเป็นชั่วโมง พระเจ้าทำไมมันลืมยากลืมเย็นแบบนี้ล่ะเนี่ย เราไปกินข้าวที่ โอลเล้งกับเค้าอีกครั้ง บอกเค้าอย่างชัดเจนว่ายังรักเค้าอยู่ และเค้าก็บอกเราอย่างชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้ เราก็ยอมรับและไม่ไปพบเค้าอีก คราวนี้เค้าสัญญาว่าถ้าเราตัดใจไม่ได้ เค้าจะไม่มาพบกับเราอีกเลย
หลังจากย้ายงานจาก ม. เกษตร เราก็เข้า Web Site หาคู่ พยายามทุกวิถีทางที่จะมีรักใหม่ แต่จนแล้วจนรอดรักนี้เหมือนคอยหลอกหลอนเราไม่ลืมเลือน เราเกือบจะได้แต่งงานกับผู้ชายอีกคน (พี่ชาย) แต่สุดท้ายเราก็ไม่กล้าเอาจริงเพราะกับพี่ชายคนนั้นความรักที่เรามีให้เป็นแค่น้องสาวรักพี่ชายมากกว่า พี่เค้าก็รู้ว่าเราไม่ทุ่มให้เค้าสุดตัวเหมือนกัน แต่อย่างน้อยเค้าก็มีดอกกุหลาบวาเลนไทน์ช่อยักษ์ให้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งก็มีผู้ชายคนหนึ่งพูดกับเราว่า โอ่งเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในชีวิตพี่ เรายังรักกันเหมือนพี่น้องและติดต่อกันตลอดมา ปัญหา คือ ทุกก้าวที่เราเดินไปกับคนอื่น ทุกการกระทำที่คนอื่นทำให้เรา เราจะรู้สึกว่าถ้าเป็นอาร์ต อาร์ตจะทำแบบนี้ เค้าเป็นคนที่หลอกหลอนความรู้สึกเราตลอดเวลา ทำให้คนอื่นเข้าไปไม่ถึงใจเราซักที
อาร์ตเคยเข้ามาทักเราใน G-Talk ครั้งนึงตอนปี 2008 เราร้องให้ไปอีกเกือบชั่วโมง เค้าบอกกับเราว่าไม่อยากจะเชื่อว่าเราไม่เคยเปลี่ยน (อย่าว่าแต่มึงไม่เชื่อเลย กรูก็ไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน) และเมื่อปีที่แล้ว 2011 เค้ากลับมาเมืองไทยอีกครั้งพร้อมไปปาร์ตี้วันเกิดกับเพื่อนสนิทที่สุดของเรา เราตัดปัญหาไม่ไปงานวันเกิดเพื่อนสนิทเพื่อหลบหน้าเค้า วันนี้เราไม่มีความทุกข์นั้นเหลือแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้ความทุกข์แบบนั้นกลับมาอีก และเราก็ไม่มีความรักเหลือให้ใครง่ายๆ เหมือนกันใจมันนิ่งยากต่อการหวั่นไหวเกินกว่าความพยายามที่เราจะทำให้มันเป็นความรัก
ตอนนี้ถ้าจะให้มีผู้ชายซักคนในชีวิต อยากได้เพื่อนสักคนที่เข้าใจเราจริงๆ ที่คุยกันถูกคออยู่ด้วยกันแล้วไม่เบื่อและพร้อมจะอยู่คุยกันไปอย่างเพื่อนแท้ตลอดไปมากกว่า และหากเรามีความเคารพเค้าก้มลงกราบเท้าเค้าได้ไม่ตะขิดตะขวงใจจะยิ่งดีที่สุด ที่สำคัญอยากมีคนกอดจากข้างหลังบนโซฟานั่งดูหนังด้วยกันเงียบๆ เป็นคนที่ชั้นรู้สึกรักจริงๆ และเค้าก็รักชั้น พร้อมจะดูแลความรู้สึกกันและกัน และที่สำคัญ คือ อยากไป Count Down ที่ Time Square กับเค้าคนนั้นให้มันจบๆ กันไปซะที เพื่อไม่ให้รู้สึกเศร้าทุกครั้งที่ได้ยินเพลง คืนข้ามปี ของ ดา เอ็นโดรฟิน ส่วนเรื่องอื่น Equipment Seems To Expire…
แต่ถ้าหาผู้ชายไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นราย เวลาแก่ตัวไปขอให้เนยกะดิวจัดงานให้มันถี่ขึ้นหน่อยโอ่งก็พอใจและอบอุ่นเป็นสุขใจมากแล้วจ้า อาจปลอดภัยกว่ามีรักใหม่ตอนแก่ๆ

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฉันท์ชนากับราชินีบนรียูเนียน ภาค 1
เวลาชั้นบอกใครว่าชั้นจบโรงเรียนราชินีบน ชั้นจะกลัวโรงเรียนเสียชื่อเสียงเพราะมีนักเรียนอย่างชั้นมาก เพราะชั้นคิดว่าคนจะวาดภาพนักเรียนโรงเรียนราชินีบนนั้นสวยหวาน แต่คนกลับไม่สงสัยเพราะเค้าคิดกันว่าชั้นต้องเป็นทอมแน่นอน แต่แท้จริงแล้วชั้นชอบผู้ชาย (บางคนหาว่าสร้างภาพ) แต่จุ๋มจิ๋มเพื่อนสนิทที่ยาวนานที่สุดของชั้นจะเป็นคนหนึ่งที่รู้ว่าชั้นบ้าผู้ชายขนาดไหน จิ๋มชั้นพูดว่า ใครๆ ก็เป็น Love of My Life ของแกรหมดทุกคนอ่ะ.... อ้าวชั้นผิดซะงั้น ไว้ว่างๆ ชั้นจะร่ายมนต์ว่าชั้นมีความประทับใจและหลงรักผู้ชายมาแล้วกี่คน และชีวิตรักชั้นมันรันทดขนาดไหนในภายภาคหน้า แต่ตอนนี้กลับมาโรงเรียนราชินีบนก่อน
ชั้นเข้าเรียนโรงเรียนราชินีบนเพราะเป็นหลานย่าแดง ย่าแดงสอนอะไรก็ไม่รู้หรอกไม่เคยเรียนแต่ว่าลูกย่าแดงเรียนจบราชินีบนทุกคน (รวมทั้งลูกชายด้วย) บ้านย่าแดงก็อยู่ซอยตรงข้ามโรงเรียนนั่นแหล่ะ ปู่แผ้วสามีของย่าแดงเป็นเพื่อนสนิท (เพื่อนร่วมสาบาน) ของปู่ชั้นเองและเค้าเลี้ยงพ่อชั้นมาเหมือนลูกสมัยพ่อชั้นเรียนจุฬาฯ พ่อชั้นเลยกลายเป็นพี่ชายคนโตบ้านนี้ไปโดยปริยาย ตอนชั้นเกิดมาพ่อกับแม่ต้องทำงานเลยเอาชั้นมาฝากเรียนโรงเรียนเตรียมอนุบาลแถวๆ บางกระบือ แล้วก็อยู่บ้านย่าแดง ย่าแดงสอนชั้นให้เป็นผู้ดี เดินเสียงดังก็จะต้องมีการเอาไม้บรรทัดเคาะตาตุ่ม ชั้นเป็นเด็กเรียบร้อยแบบไม่เต็มใจเมื่ออยู่บ้านนี้แต่ชั้นก็มีความสุขทุกคนที่นี่รักชั้นมาก
ชั้นเริ่มต้นที่ อนุบาลหนึ่ง ขอไข่ สีชมพู สมัยนั้นชั้นชื่อ น้องแอร์ น๊ะเป็นชื่อตั้งแต่เกิดและยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นโอ่ง จริงๆ ตอนเกิดพ่อจะให้ชื่อ กิ๊บ เพราะว่าพ่อชื่อ บิ๊ก เอาอักษรสลับกันชื่อเป็น กิ๊บ ฟังแล้วน่ารักมาก ขืนชื่อนี้โตมาต้องกลายเป็น กิ๊บยักษ์ แน่นอน ตอนอนุบาลชั้นเลขที่ติดกัน และนั่งติดกันกับ จ๋า (ชาลินี) ชื่อคล้องกันด้วย ฉันท์ชนา ชาลินี และจัดได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทคนแรก เพราะก่อนหน้านั้นจำความอะไรไม่ได้ ที่ห้องจะมีลูกคนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่พ่อชั้นทำงานอยู่ด้วยหลายคน เช่น พี่พู่ พี่ป้อง (พิชญา) เป็นต้น ที่เรียกพี่แต่เด็กเพราะพวกเนี้ยแก่แล้วเกิด 2516 (ปีวัว) ในขณะที่คนที่เรียนปีเดียวกะชั้นควรจะเกิด 2517 (ปีเสือ) ชั้นเลยติดเรียกพี่ป้องมาตลอด สองคนเนี้ยเรียนเก่ง พ่อชั้นชอบเอามากดดันชั้นที่บ้าน แต่ก็ไม่สำเร็จหรอกน๊ะ เพราะชั้นไม่สนใจเรื่องเรียนเลยแม้แต่น้อย ชั้นสนใจเรื่องอื่น....
เพื่อนๆ มารียูเนียนกันบอกว่า คิดถึงความสุขสมัยเด็กๆ ตอนอยู่ราชินีบนชั้นไม่มีความสุขสนุกเหมือนตอนกลับมาเจอเพื่อนๆ ทุกวันนี้หรอก เพราะว่าสมัยนั้นชั้นหิวตลอดเวลา ความสนใจชั้นมีอยู่เรื่องเดียว คือ วันนี้จะทำยังไงให้ท้องอิ่มดี แน่นอนบ้านชั้นไม่ใช่คนจน เข้าขั้นมีฐานะใช้ได้เลย แต่ที่บ้านย่าแดงย่าไม่ยอมให้ชั้นกินเยอะกลัวชั้นจะอ้วน ย่าแดงไม่ชอบให้อ้วนจึงจำกัดอาหารเช้าเย็นอย่างเข้มข้น (ย่าแดงมาเห็นชั้นวันนี้มีหวังลมจับ) และพอมาโรงเรียนทุกคนต้องกินพร้อมกันลุกพร้อมกัน ชั้นต้องรีบกินเพราะเกรงใจเพื่อน (เติมได้แค่ 2 ครั้งต้องตัดใจเลิก) แต่ถ้าเธอไปฟังจุ๋มจิ๋มเล่าเรื่องนี้จะได้ยินอีกเรื่องนึง คือ การที่อยู่ห้องเดียวกับโอ่งจะทำให้เวลาพักเที่ยงหายไปเกือบหมดเพราะต้องรอชั้นกินข้าว ยิ่งถ้าวันไหนเป็นแกงเขียวหวานเนื้อสับกับปลาเล็กปลาน้อย ความเกรงใจเพื่อของชั้นจะอยู่ในระดับต่ำสุด รอกันไปล๊ะกัน...อย่างน้อยต้องมี 3 จานอ่ะ

สมัยนั้นชั้นได้ค่าขนม 5 บาทต่อวัน ชั้นต่อรองกับพ่อขอเป็น 25 บาทต่อสัปดาห์แทน ดูแล้วน่าจะเหมือนกันใครจะรู้ว่าเด็กที่เริ่มต้นการต่อรองแบบนี้จะโตขึ้นเป็น Lobbyist ได้อย่างทุกวันนี้อ่ะ แต่ชั้นมีเหตุผล เธอรู้ไม๊ข้าวหมูแดงที่ครูเอามาขายสมัยนั้นอ่ะจานละ 7 บาท ดังนั้น 5 บาทกินอะไรไม่ได้หรอก ได้ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ้ววิญญาณหมูใส่ห่อใบตองราคา 3 บาทเท่านั้น แต่หาได้ระคายกระเพาะชั้นไม่ ดังนั้น สิ่งที่ชั้นชอบที่สุดยังคงเป็น ขาหมูบางกระบือ ร้านอยู่ตรงสี่แยกเขียวไข่กาซึ่งสมัยก่อนราคาจานละ 10 บาท แต่อิ่มมาก วันนี้ก็ยังอยู่น๊ะถ้าเพื่อนๆ จะไปกัน ลองไปอ่านฉบับที่ชั้นเขียนเรื่องอาหารการกินชั้นจะต้องเขียนร้านนี้ไว้อย่างแน่นอน
เรื่องอาหารเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชั้นมาก ถึงขั้นทำให้ชั้นต้องขายตัวตั้งแต่สมัยเด็กๆ สมัย ป.5 ชั้นจำได้ว่าเบียร์ (สุพัสวรรณ) มันช่วยรุ่นพี่คนนึงที่อยู่ ม. ต้น มาจีบชั้น พี่เค้าเป็นทอมชั้นเป็นสาวหวานน๊ะ เพื่อนๆ ช่วยลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนรียูเนียนที่บ้านเนยแล้วย้อนกลับไปตอนสมัยวันวานชั้นยังหวานอยู่นิดนึง เบียร์มันบอกว่า พี่เค้าโอเคน๊ะแกร ถ้าเป็นสมัยนี้ในใจชั้นคงนึก What’s In It for Me??? แต่ว่าเพื่อนเบียร์มันก็รู้ใจชั้นบอกพี่เค้าว่าชั้นชอบกิน พี่เค้าเลยเอาขนมมายืนรอหน้าบันไดทุกวันชั้นเลยต้องยอมคุยกะเค้า เบียร์มันยังสอนพี่เค้าว่า อย่าให้ชั้นเอาขนมไป ไม่มีทางสำเร็จ ต้องให้ชั้นกินตรงนั้น เค้าถึงจะมีโอกาสได้คุย (แล้วมันนึกว่าแบบนี้จะสำเร็จรึ) แต่นั่นคือ การขายรอยยิ้มและการพูดคุย ให้กับพี่เค้าโดยได้ผลตอบแทนเป็น นมช๊อกโกแลต และพายไส้กรอก เป็นครั้งแรกซึ่งชั้นคิดในใจว่า ทำไมเบียร์มันไม่บอกพี่เค้าให้ซื้อข้าวหมูแดง 7 บาทว้า พายนี่ 4 บาทเอง (มานั่งเขียนตรงนี้ชั้นถึงได้รู้ว่าชั้นเหมาะสมที่จะเป็นนักการเงินแล้ว) นมก็ไม่ได้ชอบเท่าไร แต่พี่เค้าบอกว่า นมแสดงถึงการใส่ใจในสุขภาพชั้น แต่ถ้ามาคุยกันวันนี้ชั้นต้องบอกว่า หมอบรรจบบอกว่า นม คือสาเหตุหนึ่งของมะเร็งเต้านมนะค๊ะ
ความทุกข์ที่สองของชั้น คือ โดนเพื่อนแกล้ง ตอนเด็กๆ โรงเรียนเรามีเด็กผู้ชาย 3 คน เต็ม (บารเมศ) เป็นชายในฝันของหญิงทุกคน ซึ่งชั้นรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยเลยจบไปไม่เคยคุยกัน ป๊อบ (อ้วน) ชั้นไม่รู้จักป๊อบเท่าไรเค้าอยู่กับเต็มตลอด ชั้นเลยไม่มีโอกาสได้ยุ่งกะเค้า (และสมัยนั้นอาหารเป็นปัจจัยสำคัญกว่าผู้ชาย ไม่เหมือนวันนี้แล้ว) สุดท้าย คือ อลงกรณ์ ซึ่งอยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่อนุบาลและเป็นเด็กที่ตั้งหน้าตั้งตาแกล้งชั้นทุกวัน โดยเฉพาะตอนอนุบาลสอง หลังชั้นเปลี่ยนชื่อเป็นโอ่ง เพื่อสุขภาพ (ความเชื่อที่บ้านว่าเปลี่ยนชื่อแล้วจะสุขภาพดี) อลงกรณ์ เรียกชั้นว่า โอ่งอ่างกระถางแตกบ้างแต่งกลอนให้ชั้นบ้าง โอ่งแตก มาแลกโอ่งดี โอ่งกินขี้ ไม่มีคนซื้อ เป็นต้น ชั้นเป็นเด็กสาวหวานร้องให้ทุกวันเลย สมัยนั้นพ่อชั้นพยายามสอนให้ตอบโต้ แต่สมัยนั้นชั้นไม่กล้าเลยซวยไป
โตขึ้นมาหน่อย ชั้นก็โดนอ้อมใจแกล้งอีก (ประมาณ ป. 4) ชั้นจบราชีนีบนตอน ป. 6 บอกตามตรงแทบจำใครไม่ได้ แต่ชั้นจำอ้อมใจกับอ้อ(สุธาสินี)ได้แม่น เพราะอ้อมใจแกล้งชั้นตลอดเวลา และครั้งนึงถึงขั้นเอากล่องดินสอสุดรักสุดหวง ซาริโอ้ชิ้นแรกและชิ้นเดียวของชั้นไปทิ้งนอกหน้าต่างอ่ะ แล้วทำหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สมัยนั้นชั้นเป็นเด็กสาวหวานไม่กล้าหืออือ เพราะอ้อมใจเค้าเป็นหัวโจก Aomjai &The Gang (สมัยนี้ไม่รู้หายไปไหนแล้ว)
สมัยนั้น อ้อ (สุธาสินี) เป็นคนออกหน้าต่อว่าอ้อมใจให้และจะเดินเข้ามาปกป้องเด็กอ่อนแออย่างโอ่งทุกครั้ง และอ้อสงสารโอ่งมากที่โดนอ้อมใจและผองเพื่อนรังแก โดนล้อนู่นนี่ตลอด และโดนข่มด้วยเพราะที่บ้านไม่ค่อยซื้อสินค้าซาริโอ้ให้ใช้ เพราะพ่อเห็นว่ามันเกินไปสำหรับเด็กๆ พ่อให้ใช้ของธรรมดาๆ ดังนั้น ตอนอ้อกลับจากเที่ยวญี่ปุ่น อ้อเลยซื้อเกมส์กดมาฝากโอ่งคนเดียวเป็นเกมส์ทาซานยังจำได้และซาบซึ้งติดตามาก
สมัยนั้น อ้อ (สุธาสินี) เป็นฮีโร่ของเราน๊ะและตอนนี้ได้ดีไปแล้ว เห็นไม๊โลกนี้ยุติธรรม คนดีย่อมได้ดี อ้อเค้าเป็นคนที่เกิดมามีบุญแล้วก็ทำบุญอย่างต่อเนื่องมีเมตตาแต่เด็กๆ เลย แต่วันนี้ไม่โกรธอ้อมใจแล้วนะ ขำมากกว่า ขำตัวเอง ใครจะนึกว่าวันนี้คนที่ Tough ในการเจรจาการเงินที่สุดคนนึงใน Industry ครั้งหนึ่งจะเป็นเด็กที่ถูกรังแก สมัยนั้น อ้อ (สุธาสินี) จะสนิทกับ แตง (แตงโม) โอ่งก็เลยจำแตงได้ด้วย จำได้ว่าอ้อมีกล้องถ่ายรูปรุ่นเดียวกับแตงที่กดเป็นสีเขียวแต่ของแตงเป็นสีแดง อ้อมีบ้านใกล้โรงเรียนและชวนเพื่อนไปทานขนมที่บ้านตลอดเลย (ชั้นจะไปกินช่วงที่ค่าขนมหมดไปกับขาหมูแล้ว) แตงก็ดีกะโอ่งมากสมัยเด็กๆ ไม่รังแก แตงใจดี และสุดท้ายแตงก็ประสบความสำเร็จมีสามีที่แมนสุดๆ เป็นพ่อที่ดีสุดๆ ครอบครัวน่ารักมากเลย เมื่อวานได้จับมือสามีแตงด้วยสุดยอดไปเลย (ผัวเพื่อนท่องไว้ผัวเพื่อน)
ควารมทุกข์ถัดมา คือ ตกท่อโรงเรียนเราไม่รู้ว่าจะมีท่อเยอะไปไหน มันทอดยาวอยู่ข้างตึกรอบๆ โรงเรียนเราเลยนะ และโอ่งเองก็เป็นเด็กเหม่อ ที่รู้ได้เพราะโอ่งสนิทกับอรจิตต์ตอน ป. 3 เพราะนั่งเรียนติดกัน อรจิตต์บอกว่าโอ่งเรียนหนังสือน้ำลายยืดเลอะเอี๊ยมตลอดเวลาและไม่ค่อยพูดจากับใคร (วันนี้น้ำไหลไฟดับ) จริงๆ ก็เพราะไม่ชอบเพื่อนที่โรงเรียนอ่ะ เพื่อนชอบแกล้ง แต่ว่าอรจิตเป็นเพื่อนคนแรกที่พยายามคุยด้วย เวลาพักโอ่งจะเอาหุ่นยนต์ที่แถมในกล่องขนมมานั่งต่อและให้หุ่นยนต์มันคุยกันอรจิตต์ก็ถามว่า ตัวนี้ชื่ออะไร ตัวนั้นล่ะ แล้วมันคุยอะไรกัน โอ่งก็เล่าเรื่องสงครามหุ่นยนต์นรกโลกันต์ให้อรจิตต์ฟัง อรจิตต์เป็นคนแรกที่บอกว่า โอ่งเป็นคนตลกเล่าเรื่องได้ตลกมาก วันนี้โอ่งเริ่มเขียนหนังสือเป็นคนเล่าเรื่องแล้วนะ ไม่รู้ว่าอรจิตต์จะได้มีโอกาสอ่านไม๊ ถ้าอีกหน่อยเกิดดังขึ้นมาก อยากให้รู้ว่าอรจิตต์เป็นแฟนคลับคนแรกที่นั่งยิ้มฟังโอ่งเล่าเรื่องราว
กลับมาเรื่องตกท่อใหม่ โอ่งเดินๆ แล้วตกท่อตลอดแล้ว บางทีก็โดดยางแล้วตกลงไปในท่อ และก็ต้องถอดถุงเท้าออกไปซักเกือบทุกวัน สมัยก่อนชอบกินแพนเค๊กเล็กๆ ข้างโรงเรียนแล้วครูก็ห้ามซื้อ โอ่งก็ดื้ออยากกินอ่ะ ก็เลยปีนกำแพง (รั้ว) โรงเรียนเพื่อยื่นเงินออกไปให้แม่ค้าจนได้ แต่ว่าข้างๆ รั้วก็มีท่ออีก (เห็นไม๊เป็นท่อดักนักเรียนชัดๆ) พอปีนไม่ดีก็ตกท่ออีก แม่ก็ดุว่าทำไมตกท่อทุกวันเดินไม่ระวัง โอ่งก็คิดว่า ทำไมแม่ไม่ได้ทะเลาะกะครูบ้างว่าตั้งท่อไว้ทั่วโรงเรียนขนาดนี้เด็กก็ต้องตกลงไปดิ และที่สำคัญวิธีการตกก็หลากหลายไม่ได้แค่เดินตกนะแม่
ความทุกข์ใหญ่ๆ อีกข้อสำหรับโรงเรียนราชินีบน คือ วิชามารยาทกับวิชาการเรือน โรงเรียนของเรามีวิชานี้สัปดาห์ละประมาณ 10 ชั่วโมง ไม่รวมการต้องไปซ้อมไหว้ครู หรือซ้อมพิธีการอื่นๆ ซึ่งหลายคนมีแม่ช่วยวิชาการเรือน แต่โอ่งไม่มีเพราะแม่ไม่ทำเรื่องพวกนี้ แม่เคยช่วยเย็บปลอกหมอนเพราะโอ่งทำได้น่าสยองมากแต่ปรากฎว่าได้คะแนนน้อยพอกันทั้งแม่ทั้งลูกเลย ทำอุบะ ร้อยมาลัย ที่ตลก คือ พอโตขึ้นมาแล้วไปร่วมงานกับเค้าแล้วทำเป็นคน Surprise กันมาก หน้าไม่ให้สุดๆ ตอนหลังนี้เองจึงมารู้ว่าคุณสมบัติพวกนี้ทำให้เรามีความแตกต่างและสามารถเข้าใจโลกของผู้ดีเค้า...
ความทุกข์เล็กๆ อีกเรื่อง คือ การโดดยาง ทำไมเด็กโรงเรียนสตรีต้องโดดยางกันเป็นล่ำเป็นสันด้วย โดดยากจะตายไปค่ะนั่งร้อยยางก็เหน็ดเหนื่อยเสียเวลามากมาย ที่สำคัญการโดดยางอาจสร้างรากฐานการข่มกันได้ เพราะคุณภาพของยางที่โดดจะแตกต่างกันไป บางคนสามารถหายางคุณภาพสูงร้อยได้ทีละ 5 เส้นทำเป็นเส้นยาวๆ และเพื่อนๆ ทุกคน (เน้นทุกคน) ก็จะรวมตัวกันโดดยาง ทำให้โอ่งไม่มีเพื่อนเพราะโอ่งไม่ชอบโดดยางหมากเก็บก็ไม่ชอบ และก็ไม่มีใครทำอย่างอื่นกัน สมัยอยู่สามเสนเวลาว่างเค้าจะไปกินกัน (ส้มตำ น้ำแข็งไส) เป็น My Favorite Activities Ever Since
ความทุกข์สุดท้ายที่ก็ไม่ได้ทุกข์เท่าไร คือ สอบได้ที่ 10 กว่าตลอด ตอน ป. 4 ได้บัตรเชิดชูเกียรติแค่ครั้งเดียวเพราะสอบเลขได้ 99 คะแนนแต่ที่ก็ยังสิบกว่าเพราะวิชาอื่นห่วย จนตอน ป. 6 ได้ที่ดีที่สุด คือ สอบได้ที่ 8 ตอนนั้นจำได้ว่าจุ๋มจิ๋มสอบได้ที่ 3 และอรจิตต์ได้ที่ 4 นุตาได้ที่ 6 ซึ่งเมื่อเทียบกับเพื่อนในกลุ่มก็ยังเป็นที่โหล่อยู่ดีอ่ะนะ ในใจคิดว่าจุ๋มจิ๋มฟลุ๊กโคตรอ่ะไม่เห็นจะเรียนเลย อรจิตต์ขยันกว่าตั้งเยอะ
สมัยเรียนเราจะมี ตัวเอ้ ที่ได้คะแนนดีมากๆ ที่โอ่งจำได้ได้ที่ 1 (Tier 1) ชนิดขี่กันมาเลย คือ เดือน (นนทลี) ศิรินทร์ / อ้อ (กุลชาดา) / นาตาลี / แตงโม / อ้อ (สุธาสินี) เป็นต้น มีที่จำไม่ได้อีก พี่ป้องกะพี่ภู่ก็เก่งนะ แถมไปเรียนพิเศษที่กิ่งเพชรด้วย ตอนนั้นพ่อก็จะให้ชั้นไปเรียนและให้ไปเข้าสาธิตประทุมวัน ชั้นไม่เอาหรอกโรงอาหารที่สามเสนใหญ่กว่า มีร้านตั้ง 25 ร้านและก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 บาทเอง ตอน ป. 6 เค้ามีการเอาโรงเรียนทั่วประเทศไปสอบข้อสอบกระทรวง และโรงเรียนเราก็ได้คะแนนเฉลี่ยดีที่สุด เป็นที่ 1 ของประเทศไทย นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชั้นจำได้เกี่ยวกับราชินีบน
ชั้นจบ ป. 6 แล้วก็ไปต่อ ม. 1-5 ที่สามเสน แล้วก็เข้าเศรษฐศาสตร์ มช. สอบเข้าได้ที่ 1 ด้วย (ตอน ม. 5)  เห็นไม๊คนที่เรียนได้อันดับประมาณ 30 กว่าๆ ของรุ่นที่ราชีนีสามารถไปอยู่ที่อื่นแล้วเป็นที่ 1 ได้สบายๆ จุ๋มจิ๋มก็เหมือนจะได้ที่ 1 ของคณะที่เรียนที่เกษตรเหมือนกัน จบเกียรตินิยมทุกใบรวมทั้งที่อเมริกาด้วย โอ่งก็คะแนนสูงสุดใน MBA Class ที่ Cleveland ส่วนจิ๋มเหมือนจะได้ A จรวดและได้เข้าจารึกชื่อในสมาคม MBA ของ USA ด้วยน๊ะ
พอกลับมาเจอเพื่อนอีกครั้งคนที่เป็น หัวกะทิ ก็ยังคงสร้างความภูมิใจให้เพื่อนทุกคนในรุ่น แม้แต่หางกะทิอย่างเราก็ยังมีการงานสดใส แต่ที่สำคัญทุกคนดูมีความสุข ปัญหาของโอ่ง คือ หลังจากจบ MBA โอ่งก็ทำงานที่สหรัฐและสิงคโปร์ต่อ พอกลับเมืองไทยก็เข้าวงการ Investment Banking หายสาบสูญจากเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนไปอีกมากกว่า 10 ปีจนกระทั่งปีที่แล้วมี Facebook เป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก และก็เริ่มรู้สึถึงความสำคัญของการมีเพื่อน ประกอบกับหน้าที่การงานก็ใหญ่พอที่จะมีเวลาหายใจบ้างแล้ว มีลูกน้องระดับผู้จัดการมากกว่า 10 คนคอยรับผิดชอบ ชีวิตเริ่มสบายก็เริ่มที่จะคิดถึงเพื่อนๆ แล้ว จุ๋มจิ๋มบอกว่า เพื่อนๆ ราชินีบนรวมตัวกันอีกครั้งใน FB และมีการนัดกันเป็นครั้งคราวด้วย
ปีที่แล้วก็เลยได้ไป Reunion ที่ร้านของโอ ไม่น่าเชื่อเพื่อนๆ ไปกันเพียบ บอกตามตรงว่าสำหรับเพื่อนราชินีเวลาที่ห่างกันของเรามันมากกว่า 25 ปีที่โอ่งไม่ได้ติดต่อกับใครเลยนอกจาก ฝน (นุชนาถ) กับ จุ๋มจิ๋ม แต่ตอนเดินเข้าไปเพื่อนๆ กรี๊ดกันเสียงดังมากต้อนรับกันแบบโคตรอบอุ่นมีความสุขมาก มากกว่าตอนเรียนที่โรงเรียนอีก
ทุกคนลองนึกตามเล่นๆ ในใจนะ ความทรงจำสมัยราชีนีบนอ่ะโอ่งมีแต่ความทุกข์ (ด้านบน) นอกจากมีเพื่อนดีหลายคนแล้วโรงเรียนราชินีบนสำหรับโอ่งเป็นนรกชัดๆ แต่กลับมารอบนี้โอ่งได้พบกับเพื่อนๆ และได้นึกถึงเรื่องสมัยเด็กๆอีกครั้งแล้วขำ นอกจากเบียร์ (สุพัสวรรณ) ที่ยังคงความเป็นแมนแล้ว คนอื่นก็กลายเป็นแม่กันไปหมด ยิ่งไปเลี้ยงกันบ้านเนยรอบนี้ พาลูกๆ มาด้วยยิ่งรู้สึกสนุก อบอุ่น และมีความหวังว่าแก่แล้วคงไม่ต้องอยู่คนเดียว พร้อมกับมีความประทับใจใหม่ๆ ที่ไฉไลกว่าเดิม
เริ่มที่ ปุ๊ก (Puk Rungrujimek) ปุ๊กที่แสนจะมีน้ำใจอุตส่าไปซื้อไก่ย่างส้มตำ (อร่อยกินไปเยอะ) มาให้ตั้งแต่บ่ายและแบกมาบ้านจุ๋มจิ๋มเป็นการซื้อเผื่อโอ่งกะจุ๋มจิ๋ม (แต่แบกคนเดียว) เพราะโอ่งติดประชุมกับธนาคารธนชาติถึงเกือบ 5 โมง (จริงๆ เก็บกระเป๋า 3 รอบแล้วแต่ธนาคารเค้าไม่ยอมเลิกถาม ไม่ยอมปล่อยเราออกมา) แต่พอเสร็จก็เหยียบบึ่งไปรับ ปุ๊ก จุ๋มจิ๋ม กะฝน (นุชนาถ) ซึ่งอุตส่ารีบซ่อมรถแล้วรีบมา แต่จุ๋มจิ๋มยืนยันว่าชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ให้โอ่งขับรถจะดีกว่า แล้วเราทั้งสามก็ขับรถวีออส เสมือนมอเตอร์ไซด์อัด 4 แทรกตัวตามช่องว่างของรถบรรทุกเข้ามาจนถึงบ้านเนยได้ในเวลาไม่เกิน 40 นาทีจากเซ็นทรัลลาดพร้าว
พอตอนมาถึงเพื่อนๆ ก็นั่งกันอยู่กลุ่มหนึ่งแล้ว สิ่งแรกที่หยิบ คือ ขนมใส่ไส้ห่อใบตอง จากโรงเรียนราชีนีบนของเรารสชาติยังเหมือนเดิมเลย แล้ว พี่ป้อง (ติดเรียกพี่มาตั้งแต่อนุบาล 1 อ่ะเปลี่ยนไม่ได้) ก็ค่อยๆ คัดมันหมู (หมูสะเต๊ะ) มาให้กินน่ารักมาก เหมือนกลับไปเป็นเด็กๆ อีกครั้งจริงๆ แล้วเปิ้ล (หัวหน้าแม่บ้าน) ก็พาเราเอากระเป๋าไปเก็บในห้องนอนเวอซาเช่ที่มีแต่ ป้อน (กนกวิภา) เท่านั้นที่จะนอนได้ เพราะห้องนอนเธอ แรง!
หลังเก็บกระเป๋าเราตัดสินใจนั่งโต๊ะที่คนน้อยและได้รู้จักกับ เอ ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่เคยรู้จักกันเพราะ เอ เข้ามาตอน ม. 1 แต่โอ่งรีบหนีไปหาอาหารที่อื่นกินตั้งแต่ตอน ป. 6 เอมีลูกชายสุดเท่อยู่ 1 คน (น่ารักมาก) แม่ที่เลี้ยงลูกชายได้มีความมั่นใจแบบนี้แน่ใจไดว่าต้องเป็นแม่ที่อบอุ่นมาก ในห้องคาราโอเกะ หลายชายเราร้องเพลง Top of The World ได้สำเนียงฝรั่งและมีความมั่นใจ ที่เจ๋งสุดๆ คือ มีป้าแก่ๆ นั่งฟังเพียบ เป็นเด็กที่มีความกล้า (Courage) จริงๆ นะ โตขึ้นต้องไม่ธรรมดา ดังนั้น คุณแม่ต้องเลี้ยงดีๆ เด็กผู้ชายสมัยนี้ไม่ได้มีความเข้มแข็งแบบนี้ทุกคน
ถ้าพูดถึงความเป็นแม่ก็อดที่จะกล่าวถึง เนย เจ้าของบ้านผู้อารีย์ไม่ได้ เนยเป็นคนรวยที่รู้จักหาความสุข โอ่งชื่นชมจากใจจริงเพราะโอ่งเห็นคนรวยมาเยอะ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะ Generous และรู้จักว่าความสุข คือ อะไรอย่างเนย และความเป็นแม่ของเนยก็สุดยอด ลูกชายยังตกเครื่องอยู่ที่ออสเตรเลีย เนยก็ปลอบลูกว่า รอคุณแม่ก่อนนะลูก คุณแม่กำลังให้เพื่อนช่วยดูให้ (เพื่อนคนนั้น คือ ฝน (นุชนาถ)) และเนยก็ยังสามารถจัดงานต่อได้ทั้งๆ ที่ห่วงกังวลกับลูก และยังหาช่องว่างโทรหาลูกตลอดเวลา หลานชายคนที่อยู่ออสเตรเลียถึงแม้ว่ายังเหยียบไม่ถึงเมืองไทย แต่ใจเค้าก็น่าจะอบอุ่นเหมือนกับอยู่เมืองไทยแล้ว ชั้นเห็นเศรษฐีหลายคนเรื่องแบบนี้ให้เลขาจัดการหมดอ่ะ แม้แต่พ่อชั้นเรื่องแบบนี้ชั้นโทรตรงหาเลขาพ่อเลย ชั้นไม่เคยเสียเวลาโทรหาพ่อสักครั้ง เพราะถึงเวลาก็เหมือนกัน และก็มีอีกหลายคนที่เวลาห่วงลูกก็เว่อทำอะไรไม่ได้ เนย เป็นแม่ตัวอย่างที่ ห่วงลูกกำลังพอเหมาะแต่ไม่ถึงกับกังวล ไม่แปลกใจลูกๆ ของเนยต้องเติบโตอย่างน่าชื่นชมแน่ๆ
(โปรดติดตามตอนต่อไป มีภาค 2)